Hedge or Unhedge : Which strategy is better? ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 12% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่สิ้นเดือนมิ.ย. 2024 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนที่ 5% จากส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐกับไทยที่แคบลง และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนส.ค. มียอดเกินดุล 1.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ค. ที่มียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 0.1 พันล้านดอลลาร์ โดยเกินดุลเพิ่มขึ้นจากดุลการค้า ตามมูลค่าการนำเข้าที่ลดลงเป็นสำคัญ ขณะที่การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลโดยตรงต่อการส่งออก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของ GDP อย่างไรก็ตามเริ่มมีสัญญาณการอ่อนค่าของเงินบาท ตาม Dollar Index ที่แข็งค่าขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินเยน พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของ Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐฯ จากการปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด และธปท. ได้เข้าแทรกแซงค่าเงิน สะท้อนผ่านทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทาง LH Bank Advisory ประเมินแนวโน้มของค่าเงินบาท ดังนี้
ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าการแข็งค่าของเงินบาทที่ผ่านมาได้สะท้อนปัจจัยต่างๆ ไปมากแล้ว และมีโอกาสอ่อนค่ากลับไปสู่กรอบ 33-34 บาทต่อดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2024 ซึ่งจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามระหว่างกลุ่มฮามาสและอิสราเอลที่เริ่มขยายวงกว้างและรุนแรง ส่งผลให้ Dollar Index แข็งค่า อีกทั้งจากการที่ธปท. มีโอกาสลดดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้ เพื่อลดแรงกดดันของการแข็งค่าของเงินบาท ประกอบกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะส่งผลกระทบต่อการส่งออก ทางเราจึงแนะนำกลยุทธ์ไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Unhedge) สำหรับการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มกลับมาอ่อนค่าสู่ปัจจัยพื้นฐานได้ในระยะกลางถึงยาว ส่วนการลงทุนในระยะสั้น แนะนำกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedge) เพื่อลดความเสี่ยงจากโอกาสที่ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าได้ในระยะสั้น
China needs more than loose policy for economic resilience หลังจาก 24 กันยายน 2024 รัฐบาลจีนได้ออกแพ็คเกจนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นมา เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กำลังถูกแรงกดดันจากภาวะเงินฝืด ซึ่งอาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะไม่บรรลุเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ จากมาตรการต่างๆ ที่ออกมา นักลงทุนบางส่วนให้ความเห็นว่าเป็นการอัดฉีดแบบ “บาซูก้า” แล้ว และช่วยผลักดัน GDP ให้สามารถเพิ่มขึ้น 5% ในสิ้นปี 2024 ได้ จึงทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 20% ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน อย่างไรก็ดีทาง LH Bank Advisory ประเมินว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจีนยังไม่สามารถทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้ นโยบายอุดหนุนตลาดทุนจีน จะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในระยะสั้นๆ เท่านั้น โดยในอดีตพบว่าการอุดหนุนตลาดหุ้นจะส่งผลให้หุ้นปรับตัวขึ้น และร่วงลงในระยะสั้น จึงประเมินว่าด้วยนโยบายดังกล่าวจะทำให้การปรับตัวขึ้นในรอบนี้ไม่ถาวร แต่สามารถลดความเสี่ยงขาลงได้ ซึ่งการพัฒนากฎระเบียบในตลาดที่ผ่านมา มักส่งผลให้หุ้นสามารถสร้างฐานใหม่ และปรับตัวขึ้นในระยะยาว ดังนั้นจึงประเมินว่าตลาดทุนจีนพร้อมที่จะกลับตัวเป็นขาขึ้นแล้ว เหลือเพียงแต่ความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจ การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินส่งผลให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวในระยะสั้น เนื่องจากทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ย REPO 7 วันลง และเสริมสภาพคล่องให้แก่ระบบเศรษฐกิจด้วยการลด Reserve Requirement Ratio (RRR) สำหรับธนาคารขนาดใหญ่ ยังไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการกู้ยืมเพิ่มมากขึ้น โดย Credit Impulse Index ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับการใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในขณะนี้พบว่าเงินฝากส่วนเกิน (Excess Saving) ของจีนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับในปี 2018 อาจนำไปสู่พฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง สิ่งที่ต้องจับตามองคือหากรัฐบาลจีนยังไม่ออกมาตรการในการสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชน จะทำให้จีนเผชิญกับภาวะเงินฝืด ซึ่งยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จีนอาจเข้าสู่ Lost Decade คล้ายกับญี่ปุ่นในอดีต นโยบายกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยไม่สามารถแก้ไขปัญหาอสังหาริมทรัพย์ที่ล้นตลาดได้ เนื่องจากนโยบายให้รัฐบาลท้องถิ่นซื้อบ้านค้างสต๊อกในอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้น แต่พบว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลท้องถิ่นไม่ได้ใช้จ่ายมากขึ้น โดยนโยบายดังกล่าวเป็นเพียงการต่อยอดจากนโยบายเดิม ซึ่งในอดีตชี้ว่าจะช่วยชะลอการปรับตัวลงของราคาที่อยู่อาศัยเพียงเท่านั้น แต่ไม่ได้ฟื้นฟูตลาดที่อยู่อาศัยในระยะยาว อีกทั้งนโยบายช่วยเหลือสภาพคล่องด้านอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ช่วยให้การซื้อขายที่อยู่อาศัยกลับมาคึกคักดังในอดีต เนื่องจากแม้ว่ารัฐบาลจะลดอัตราการดาวน์ที่อยู่อาศัยลง และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง ช่วยให้ตลาดที่อยู่อาศัยไม่ซบเซาไปมากกว่านี้เท่านั้น และช่วยให้ยอดขายบ้านฟื้นตัวได้เพียงแค่ช่วงสั้นๆ ดังนั้นทางเรายังรอคอยนโยบายที่ช่วยให้อุปสงค์ของที่อยู่อาศัยฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งหมายถึงความสามารถในการซื้อของชาวจีน ตัวอย่างจากประเทศไทยที่มีนโยบายกระตุ้นด้านอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย จะพบว่าสามารถเพิ่มยอดขายได้ในระยะสั้นๆ จากประชาชนที่มีความสามารถซื้ออยู่แล้ว แต่ในท้ายที่สุดอุปสงค์จะลดลง เนื่องจากตลาดแรงงานที่ซบเซา และความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งประเมินว่านโยบายดังกล่าวจะช่วยบรรเทาภาวะซบเซาที่เกิดขึ้น แต่ยังต้องการนโยบายการคลังที่เข้ามาช่วยเสริมตลาดแรงงานและการบริโภค แม้ว่านโยบายที่นำมาใช้อาจไม่สามารถแก้ปัญหาความเชื่อมั่นทางธุรกิจได้ อย่างไรก็ดีทางเราเห็นสัญญาณความเอาจริงเอาจังในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเชื่อว่ารัฐบาลจีนจะทยอยผ่อนปรนกฎระเบียบที่เคยบังคับใช้ ซึ่งมองว่าเป็นนโยบายสำคัญที่ช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน และการบริโภคในประเทศ จึงแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นจีนเมื่อพักฐาน
ประกาศ ณ วันที่ 07 ตุลาคม 2567