ลูกค้าบุคคล > LH Bank Advisory > Weekly Report > Wealth Weekly Report 26-08-2024

Wealth Weekly Report 26-08-2024
 

HARRIS’ MOMENTUM
  • หลังจากที่ กมลา แฮร์ริส ขึ้นมาเป็นผู้เข้าแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งผลให้คะแนนผลสำรวจพรรคเดโมแครตขึ้นนำพรรครีพับลิกัน อย่างไรก็ตามสำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแล้ว ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าไม่ว่าใครจะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีก็จะกดดันผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยี เนื่องจากแฮร์ริสมีแนวคิดที่จะเพิ่มภาษีนิติบุคคล แต่ยังคงขยายเงินอัดฉีดในกลุ่มพลังงานสะอาด และรถยนต์ไฟฟ้า แต่อีกขั้วหนึ่งอย่างทรัมป์ที่มีแนวคิดในด้านลดต้นทุนบริษัท เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยจะยังคงภาษีนิติบุคคล แต่จะยกเลิกข้อตกลงปารีส และลดกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมลง ซึ่งทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนชะลอตัวลง ประกอบกับกฎหมายการผูกขาดทางการค้าที่เป็นปัจจัยกดดันบริษัทขนาดใหญ่ตั้งแต่ในขณะนี้ จึงต้องจับตานโยบายของแต่ละพรรคต่อไป
  • ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าปัจจัยพื้นฐานของอินเดียในระยะยาวยังคงมีความน่าสนใจด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูงประกอบกับอัตราเงินเฟ้อลดลงสู่ระดับ 3.5% ในเดือนก.ค. ซึ่งต่ำกว่าระดับเป้าหมายของธนาคารกลางที่ 4% และแม้ Valuation ของตลาดหุ้นอินเดียอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน แต่ถูกปรับการคาดการณ์กำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทางเราจึงแนะนำทยอยสะสมกองทุนเปิดพรินซิเพิล อินเดีย อิควิตี้ (PRINCIPAL INDIAEQ-A) ซึ่งมีกลยุทธ์การบริหารแบบเชิงรุก (Active Management) ที่กระจายการลงทุนในหุ้นทุกขนาด (Multi-Cap) และทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว

TOPIC FOCUS

Big-Tech challenges are likely to continue whatever who wins 

การเลือกตั้งสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ถือเป็นนัดเปลี่ยนชะตาครั้งยิ่งใหญ่ โดยในขณะนี้พรรคเดโมแครต ภายใต้การนำโดยนางกมลา แฮร์ริส เริ่มมีคะแนนพลิกฟื้นขึ้นนำ ทางพรรครีพับลิกัน ที่นำโดยนายโดนัล ทรัมป์ หลังจากการเปลี่ยนแคนดิเดตแทนอดีตประธานาธบดี ไบเดน เพียงไม่ถึงเดือนเท่านั้น ซึ่งได้รับคะแนนมาจากนโยบายที่มีความยืดหยุ่น โดยเน้นนโยบายประชานิยม อีกทั้งจากข้อมูลในอดีตพบว่าในช่วงปีเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะปรับตัวขึ้นได้หลังจากการเลือกตั้ง 2 เดือน อย่างไรก็ตามทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี แม้ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งก็ตาม

“กฏหมายป้องกันการผูกขาด” หรือ Antitrust Law เพื่อให้ตลาดเกิดความเป็นธรรม โดยสหรัฐฯ เริ่มเข้มงวดมากขึ้นในช่วงปี 2023 อย่างเช่น กรณีของบริษัท Apple ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมในการผูกขาด โดยการขัดขวางความสะดวกในการส่งข้อความข้ามแพลตฟอร์ม ซึ่งจะสามารถส่งได้เฉพาะแอปพลิเคชันส่งข้อความกับเครือข่ายของผู้ที่ใช้ iOS ด้วยกันเท่านั้น รวมทั้งจำกัดการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่ได้มาจากค่ายเดียวกัน และ Apple สร้างข้อจำกัดใน App Store โดยสามารถระงับการเข้าถึงแอปพลิเคชันของผู้ใช้งานได้ เป็นเหตุให้ถูกปรับมูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ รวมถึง Meta ที่เคยถูกพิจารณาคดีในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ด้วยเหตุนี้จึงประเมินว่า Anti-trust Law จะเป็นปัจจัยกดดันต่อหุ้นขนาดใหญ่ต่อไป

แม้ว่าแฮร์ริส จะสานต่อนโยบาย Bidenomics ก็ตาม แต่มีนโยบายขึ้นภาษีนิติบุคคล จึงนำไปสู่การกดดันผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯ โดยแฮร์ริส สนับสนุน Inflation Reduction Act โดยเน้นการใช้จ่ายพลังงานสะอาดจำนวนมาก และลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้ถึง 1,800 ดอลลาร์ และช่วยให้แต่ละครอบครัวลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงกว่า 1,000 ดอลลาร์ เพื่อเป็นการลดเงินเฟ้ออย่างยั่งยืนในอนาคต อย่างไรก็ตามจากการตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้น เป็นเหตุให้แฮร์ริส ตั้งเป้าหมายการใช้รถยนต์ไฟฟ้าลดลงครึ่งหนึ่งจากเป้าหมายเดิมของไบเดน อีกทั้งการขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% โดยยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนนี้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทในสหรัฐฯ 

ในขณะที่ทรัมป์ มีแผนขยาย Tax Cut and Jobs Act ออกไป โดยคงภาษีนิติบุคคลที่ 21% ซึ่งช่วยหนุนต้นทุนของบริษัท ในทางกลับกันทรัมป์มีแนวคิดเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของบริษัทสหรัฐฯ จึงมีแผนออกจาก Paris Agreement ที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงจะผ่อนปรนกฎระเบียบการปล่อยมลพิษสำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหิน และคัดค้านโยบาย Green New Deal โดยจะขุดเจาะพลังงานธรรมชาติจากในสหรัฐฯ เอง แน่นอนว่ารถยนต์ไฟฟ้าคงจะได้รับการสนับสนุนน้อยลง ดังนั้นบริษัทที่ได้ประโยชน์จากพลังงานสะอาดรวมทั้ง Smart Grid ที่มีการใช้ Semiconductor ก็จะถูกแรงกดดันไปด้วย

หากเป็นเช่นนี้การเติบโตของบริษัทกลุ่มเทคโนโลยี จะเหลือปัจจัยในการสนับสนุนอย่างเดียวคือการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งหากเผชิญกับตลาดแรงงานที่อ่อนแอ จากตัวเลข Non-farm payroll ที่ถูกปรับลดลงกว่า 8 แสนตำแหน่ง อาจส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนลดลง นำไปสู่การพักฐานของราคาหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มี Forward P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี มากกว่า 1S.D. ถือว่าค่อนข้างแพง อย่างไรก็ตามยังคงเหลือเวลาอีกเกือบ 2 เดือนก่อนวันเลือกตั้ง ทางเรายังคงคาดหวังให้มีนโยบายใหม่ๆ ที่เข้ามาผลักดันให้ผลประกอบการยังคงเติบโตขึ้นไปได้

Inside India

เศรษฐกิจอินเดียยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดย GDP ในไตรมาส 1/2024 ขยายตัว 7.8%YoY และจาก Bloomberg Consensus คาดการณ์ว่า GDP ของอินเดียทั้งปี 2024 จะเติบโตถึง 7.2% ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด อีกทั้งอินเดียได้ประโยชน์จากสร้างสมดุลในห่วงโซ่การผลิต โดยการกระจายฐานการผลิตออกนอกประเทศไปยังประเทศอื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า ตามกลยุทธ์ "China Plus One" ซึ่งทาง LH Bank Advisory ได้ประเมินมุมมองต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอินเดีย ดังนี้

  • ผลการเลือกตั้งในเดือนมิ.ย. 2024 พรรค BJP ของนายกรัฐมนตรีโมดี ไม่ได้เสียงข้างมาก สะท้อนให้เห็นถึงความผิดหวังจากการที่ไม่สามารถสร้างงานได้เพียงพอ โดยอัตราการว่างงานเฉลี่ยของอินเดียย้อนหลัง 12 เดือนอยู่ที่ 8% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโมดีได้จัดสรรงบประมาณ 24,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นการเติบโตของการจ้างงาน และแม้ว่าการเป็นรัฐบาลผสมจะจำกัดความสามารถของโมดีในการผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจ แต่การมีพรรคร่วมรัฐบาลจะทำให้รัฐบาลมีความสมดุลและเกิดการหารือด้านนโยบายมากขึ้น 
  • รัฐบาลอินเดียได้ตั้งเป้างบประมาณราว 1.32 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งคิดเป็น 3.4% ของ GDP เพื่อรองรับฐานการผลิตของโลก โดยการลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ (Net FDI Inflows) ระว่างเดือนเม.ย. - มิ.ย. 2024 (ไตรมาส 1 ของปีงบประมาณ 2024) มีมูลค่า 6.9 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับ 4.7 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้น 46.8%YoY 
  • อัตราเงินเฟ้อลดลงสู่ระดับ 3.5%YoY ในเดือนก.ค. จาก 5.1% ในเดือนมิ.ย. จากราคาอาหารที่ชะลอลงสู่ระดับ 5.1% ในเดือนก.ค. จาก 8.4% ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งอัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่าระดับเป้าหมายของธนาคารกลางที่ 4% ทำให้มีโอกาสที่ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนต.ค. โดยจาก Bloomberg Consensus คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของอินเดียจะลดลงจากระดับปัจจุบันที่ 6.5% เหลือ 6.2% ในปีงบประมาณ 2024 ขณะที่ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ทำให้คาดว่าค่าเงินรูปีจะมีเสถียรภาพมากขึ้น
  • กระแสเงินไหลเข้ากองทุนรวมหุ้นของอินเดียเพิ่มขึ้น 17%YoY ในเดือนมิ.ย. 2024 สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 406,080 ล้านรูปี (ราว 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยกระแสเงินไหลเข้ากองทุนที่กระจายการลงทุนในหุ้นทุกขนาด (Multi-Cap) 47.09 พันล้านรูปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 27 เดือน และไหลเข้ากองทุน Large-Cap เพิ่มขึ้น 46% สู่ระดับ 9.7 พันล้านรูปี ขณะที่เงินไหลเข้ากองทุน Mid-Cap และ Small-Cap ลดลง 16% และ 3% ตามลำดับ สะท้อนว่านักลงทุนมีการปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนจากกองทุนที่ลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็กไปลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และกองทุน Multi-Cap มากขึ้น
ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าปัจจัยพื้นฐานของอินเดียในระยะยาวยังคงมีความน่าสนใจด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูงทั้งนี้ตลาดหุ้นอินเดียอาจมีความผันผวนในระยะสั้น หลังรัฐบาลอินเดียปรับขึ้นภาษีจากการขายหุ้นที่ถือครองไม่ถึง 12 เดือนเป็น 20% จากเดิม 15% และปรับขึ้นภาษีสำหรับกำไรจากการลงทุนที่มากกว่า 12 เดือนเป็น 12.5% จาก 10% เพื่อควบคุมการเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้น และแม้ Valuation ของตลาดหุ้นอินเดียอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน แต่ถูกปรับการคาดการณ์กำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทางเราจึงแนะนำทยอยสะสมกองทุนเปิดพรินซิเพิล อินเดีย อิควิตี้ (PRINCIPAL INDIAEQ-A) ซึ่งมีกลยุทธ์การบริหารแบบเชิงรุก (Active Management) ที่กระจายการลงทุนในหุ้นทุกขนาด (Multi-Cap) และทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว

Weekly Report 26-08-2024

ประกาศ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2567

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง