ศก.ไทย ภายใต้ความล่าช้า ที่จะไม่ได้พร้าเล่มงาม
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤตโควิด และการฟื้นตัวครั้งนี้กินเวลายาวนานกว่าวิกฤตการเงินโลก (GFC-2551) เสียอีกด้วย ซึ่งครั้งนั้นเศรษฐกิจไทยใช้เวลากลับมาฟื้นตัวภายใน 9 ไตรมาส และยิ่งดูฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน อย่าง อินโดนีเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ เป็นต้น
LH Bank Advisory ประเมินปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำในช่วงครึ่งปีแรก และส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้พลาดเป้าหมายที่รัฐบาลเศรษฐาตั้งไว้ในระดับ 5% ต่อปี ตลอดช่วงที่ดำรงตำแหน่ง
ด้วยปัจจัยความล่าช้าของงบประมาณและขาดความเชื่อมั่นของผู้ผลิต ทำให้คาดการณ์อัตราการเติบโต GDP ในช่วงไตรมาสแรกของไทยอยู่ต่ำกว่าระดับ 3% ดังนั้นตลาดจึงหวังพึ่งนโยบายการเงิน ด้วยการปรับลดดอกเบี้ย เพื่อผ่อนคลายสภาพคล่องในระบบ อย่างไรก็ตามเครื่องมือดอกเบี้ยต้องใช้ระยะเวลาถึงจะส่งผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทางเราจึงมองว่าหากไร้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ๆ จากฝั่งรัฐบาล ตลาดหุ้นไทย (SET) ยังแกว่งตัวในกรอบขาลง แม้ในระยะสั้นมีการฟื้นตัวจากการปรับตัวลงแรงมาทดสอบ 1,400-1,410 จุด แต่มีความเสี่ยงที่จะเห็นการปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนลงจาก 95 บาท/หุ้น สู่ 87 บาท/หุ้น ซึ่งกระทบมูลค่าของตลาดหุ้น ซึ่งเป็นโอกาสให้ Buy on Dip ที่แนวรับ 1,300-1,340 จุด
Gold reaches unprecedented high amid economic uncertainties
ทองคำทะยานขึ้นไปอยู่ระดับ All Time High อย่างต่อเนื่อง จาก บทความ Arch Lumpini ฉบับที่ 06 พ.ย. 23 หัวข้อ Gold Supercycle โดยที่ธนาคารกลางตะวันออกเพิ่มสัดส่วนสำรองทองคำอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเมื่อประธาน Fed มีถ้อยแถลงที่กล่าวว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ส่งผลให้ Bond Yield ปรับตัวลง ดังนั้นเมื่ออัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำลง สินทรัพย์ที่ไม่มีผลของดอกเบี้ยจึงมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะทองคำ ประกอบกับความคาดหวังว่า BoJ จะยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ (Dxy) ปรับตัวลง ด้วยปัจจัยดังกล่าวเป็นเหตุให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้
อย่างไรก็ตามทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าราคาทองคำได้รับรู้ราคา (Price In) จากการลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว และหากไม่เกิดปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอื่นหรือขยายตัวเป็นวงกว้าง อีกทั้งยังไม่เกิดวิกฤติในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่นั้น ประเมินว่าทองคำจะมีการย่อตัวลงในระยะสั้น เนื่องด้วยปัจจัยดังนี้
อย่างไรก็ตามจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงกว่ากรอบเป้าหมาย อาจนำไปสู่ Stagflation ประกอบกับราคาหุ้นที่ปรับขึ้นแม้ว่าความคาดหวังในการลดอัตราดอกเบี้ยจาก 6 ครั้งนี้ปีนี้ ได้ลดจำนวนลง และเลื่อนระยะเวลาในการลดอัตราดอกเบี้ยลง ทางเราจึงเห็นถึงความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่มี Valuation อยู่ในโซนที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต จะเป็นชนวนเกิด Bubble ในตลาดหุ้น ดังนั้นจึงแนะนำ Take Profit จากราคาทองคำที่พุ่งขึ้นในระยะสั้น ขณะที่ระยะยาว ทองคำยังคงอยู่ใน Supercycle จึงแนะนำกลับมา Buy on Dip เพื่อใช้เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากวิกฤตเศรษฐกิจ สัดส่วนการลงทุนที่แนะนำไม่เกิน 10% - 15% ของพอร์ตการลงทุน
ประกาศ ณ วันที่ 17 มีนาคม 2567