‘No Rush to Cut’ Fed’s Message
ประเด็นสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่คำแถลงของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ต่อคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธ และคณะกรรมาธิการวุฒิสภาในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งท่าทีที่ออกมาเป็นไปตามที่ตลาดได้คาดไว้ก่อนหน้านี้ ว่าจุดยืนของประธาน Fed คือ ยังระมัดระวังการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่ดื้อดึงอยู่เหนือเป้าหมาย โดยทาง LH Bank Advisory พิจารณาไปที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่แท้จริงเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อพื้นฐาน (Real Fed Fund rate) พบว่าอยู่ที่ระดับ 1.4% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ 2 ปี (Breakeven inflation) ปรับตัวขึ้นมาที่ 2.8% จาก 2.3% สะท้อนถึงความน่ากังวลใจว่า Fed จะสามารถควบคุมเงินเฟ้อในระยะถัดได้หรือไม่ ขณะเดียวกันตัวเลขเศรษฐกิจที่ทาง Fed ให้ความสำคัญอย่างตลาดแรงงาน พบว่า ภาคการบริการยังขยายตัวโดดเด่นและผลของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของปธน.ไบเดน ทำให้อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิด COVID-19 จนทำให้อัตราการเติบโตค่าจ้างปรับสูงขึ้น หลักฐานจากดัชนีฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ (ISM Services PMI) ที่ปรับลดลงเล็กน้อยมาที่ 52.6 จุดจาก 53.4 จุด แต่ยังเหนือระดับ 50 จุดบ่งชี้ว่าอยู่ในฝั่งขยายตัว จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่พยายามหนีออกจากกรอบขาลง กลายมาเป็นภาระหนักอึ้งของ Fed หาก Fed ยังคงรักษาความหวังตลาดที่จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ อย่างน้อย 3 ครั้งในปีนี้ ดังนั้นทางเราคาดว่า เดือนมีนาคมนี้ Fed guidance ในการประชุม FOMC ที่จะมาถึง อาจออกมาแสดงท่าทีที่ไม่รีบร้อนในการปรับลดดอกเบี้ย (No Rush to Cut) หรืออาจจะไม่กล่าวถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ย (No Cut) เพราะเป็นไปได้ยากที่ Fed จะดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายขึ้นไปกว่าปัจจุบัน จนเป็นเหตุให้เงินเฟ้อปรับขึ้นหนีห่างจากเป้าหมาย หากพิจารณาสถานการณ์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พบว่า ตลาดยังเต็มไปด้วยความคาดหวังถึงการปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ไม่ว่าเริ่มที่เดือนไหนก็ตาม โดยความคาดหวังดังกล่าวกลายมาเป็นตัวช่วยเพิ่มสภาพคล่องแก่ระบบการเงิน จนทำให้ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ภาคเอกชน (Credit Spread) แคบลงเหลือ 334 ในรายงานของดัชนี CDX High yield ซึ่งบ่งชี้ว่าระบบการเงินในเวลานี้มีความผ่อนคลายอย่างมาก สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคา S&P 500 จนทำให้อัตราผลตอบแทนการลงทุน (Earning Yield) ลดลงมาอยู่ในระดับ 4.12% อย่างไรก็ตามทางเราประเมินว่าตลาดกำลังจะได้เห็นการกลับมาขยายตัวของ Credit Spread หลังจากนี้ เพราะ Fed ยังรักษาท่าทีดำเนินนโยบายการเงินที่ยังเข้มงวด จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับสูงขึ้น และสร้างความกดดันให้ตลาดหุ้นที่ All time high เผชิญแรงขายทำกำไร ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ สามารถรอจังหวะพักฐาน Buy on dip หรือแนะนำเลือกหุ้นกลุ่มมูลค่า เนื่องจากคาดว่าเดือนนี้บรรยากาศการลงทุนยังคงเป็น Bullish สะท้อนจาก VIX Index ที่ยังอยู่ในระดับ 14.46 จุด ซึ่งยังต่ำกว่า 20 จุดซึ่งเป็นโซนที่ตลาดเริ่มกังวลใจในการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ
Spotlight on Vietnam ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) ปรับตัวขึ้นกว่า 20% จากปลายเดือนต.ค. 2023 ซึ่งแม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจในเดือนก.พ. ของเวียดนามหลายตัวออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แต่สาเหตุหลักมาจากการหยุดการผลิตของโรงงานต่างๆ ในช่วงวันตรุษจีน (8-14 ก.พ. 2024) และช่วงเวลาที่แตกต่างกันของวันหยุดตรุษจีน ซึ่งในปีที่แล้วตรงกับเดือนม.ค. โดยเมื่อรวมเดือนม.ค.-ก.พ. เพื่อขจัดผลกระทบของฐานที่ต่างกัน (Base effect) บ่งชี้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจเวียดนามยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทาง LH Bank Advisory ได้ประเมินมุมมองต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ดังนี้
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาภาคการท่องเที่ยวในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามาทะลุ 3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 68.7%YoY จนเกือบกลับไปเท่าระดับ Pre-covid (คิดเป็น 98.5% ของช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19) ส่วนในแง่ของ Valuation ตลาดหุ้นเวียดนามมี Forward P/E ratio อยู่ที่ระดับ 11.6 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ระดับ 13.7 เท่า จึงแนะนำถือต่อ Let Profit Run โดยดัชนี VN Index มีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบ Base case target ที่ 1,350 จุด
Limited upside for Indian equities
ดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย (BSE Sensex Index) ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ All Time High โดยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจอินเดียขยายตัวอย่างร้อนแรง ซึ่ง GDP ขยายตัว 8.4%YoY ในไตรมาส 4 ปี 23 ซึ่งขยายตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาด และขยายตัวมากกว่าไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ขนาดเศรษฐกิจขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 5 ของโลก สะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจอินเดีย ประกอบกับการเลือกตั้งของอินเดียในปีนี้ ช่วงเดือน เม.ย. – พ.ค. ประเมินว่า นเรนทรา โมดี จากพรรคบีเจพี มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีอินเดียต่ออีก 5 ปี และดำเนินนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ โดยการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน อีกทั้งจาก Figure 5.1 พบว่าหลังจากการเลือกตั้งดัชนีหุ้นอินเดียจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาจาก Valuation พบว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 5 ปี โดย Forward P/E อยู่ในระดับ 21 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ระดับ 22 เท่า ดังนั้นในระยะสั้นหุ้นอินเดียมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามพบปัจจัยที่ธนาคารกลางอินเดียมีแนวโน้มจะคงใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด กดดันตลาดหุ้นอินเดียดังนี้
Announcement on 11 March 2024