Bond Yield retreats after Fed indicates three rate cuts still coming this year ผลการประชุม FOMC ออกมาเป็นไปตามคาด โดย Fed ยังคงยืนยันในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย ซึ่งจาก Fed Dot Plot ยังคงคาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยจำนวน 3 ครั้ง หรือ 0.75% ในปีนี้ เนื่องจาก Fed คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ และข้อมูลแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ส่งผลให้ Bond Yield ปรับตัวลง สะท้อนภาพการลดอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป ซึ่งหุ้นน่าจะเป็นสินทรัพย์ที่ปรับตัวได้ดีกว่า แต่ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ในการเกิดเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้นทาง LH Bank Advisory จึงประเมินว่าการลงทุนในตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งได้รับประโยชน์จาก Bond Yield ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องด้วยการลงทุนในตราสารหนี้ในขณะนี้มีความน่าสนใจกว่าการลงทุนในตราสารทุนของสหรัฐฯ โดยเมื่อเทียบ Earning Yield Gap อยู่ที่ระดับ -0.6% สะท้อนการลงทุนในหุ้นได้รับผลตอบแทนต่ำกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ ในขณะที่ความเสี่ยงของตราสารหนี้ต่ำกว่า ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้จึงเป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนในช่วงนี้ อีกทั้งความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond) ในสหรัฐฯ ลดต่ำลงเทียบเท่าช่วงก่อน Covid-19 โดย Credit Default Swap (CDS) ของตราสารหนี้ภาคเอกชนระดับ Investment Grade ปรับตัวลงอยู่ในระดับ 49.2 จุด เทียบเท่ากับช่วงก่อน Covid-19 ประกอบกับ US Corporate Bankruptcy อยู่ในระดับ 102 จุด ซึ่งต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยที่ 140 จุด บ่งชี้ว่าโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้ภาคเอกชนในสหรัฐฯ อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้ออาจจะปรับตัวลงล่าช้ากว่าที่คาดไว้ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed เนื่องจากการจ้างงานยังคงแข็งแกร่งกว่าคาด โดย Unemployment Rate อยู่ต่ำกว่าระดับ 4% อีกทั้งเมื่อเทียบคนว่างงาน 1 คนมีตำแหน่งว่างถึง 1.4 ตำแหน่ง บ่งชี้ว่าประชาชนสหรัฐฯ จะยังคงมีงานทำตราบเท่าที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ ด้วยเหตุนี้การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นจะช่วยให้ได้รับรายได้จากดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นทางเราจึงมองว่ากองทุน ABGFIX จึงน่าสนใจ เนื่องจากลงทุนในตราสารหนี้ที่มี Credit Rating เฉลี่ยอยู่ในระดับ A- (Investment Grade) ด้วยอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ของพอร์ตน้อยกว่า 2 ปี ซึ่งได้รับประโยชน์จาก Bond Yield ระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว เพื่อรับประโยชน์ด้านรายได้จากดอกเบี้ย อีกทั้งด้วยส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และไทยค่อนข้างกว้าง เป็นเหตุให้ค่าธรรมเนียมการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับในอดีต ในปัจจุบันทางกองทุนจึงไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้ลงทุน ABGFIX เพื่อรับประโยชน์ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูง
End of Ultra-easy monetary policy era ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประกาศออกจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบที่ยาวนานกว่า 17 ปีและยุติยุคเงินฝืดของประเทศ โดยเกิดหลังจากตัวเลขเบื้องต้นอัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้น 5.28%YoY และเป็นอัตราขึ้นมากสุดตั้งแต่ปี 1991 ทั้งนี้ทาง LH Bank Advisory มองว่าการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างดังกล่าว สามารถช่วยให้อัตราค่าจ้างแท้จริง (Real Wage) กลับมายืนในแดนบวก หลังติดลบต่อเนื่องมา 22 เดือน และการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างของญี่ปุ่นเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักให้ระดับราคาสินค้าปรับสูงขึ้นตาม ทั้งจากฝั่งต้นทุน (Cost Push) และฝั่งความต้องการบริโภคสินค้าที่มากขึ้นตามรายได้ที่เติบโต (Demand Pull) ซึ่งเป็นเหตุให้แนวโน้มระดับราคาสินค้าปรับสูงขึ้น พร้อมกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ญี่ปุ่นกลับมาขยายตัวได้ บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้ก้าวออกจากยุคเงินฝืด จากสาเหตุข้างต้นทำให้ BOJ ตัดสินใจเพิ่มระดับความเข้มงวดของนโยบายการเงิน คือ ยกเลิกการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (YCC) และปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจาก -0.1% สู่ระดับ 0%-0.1% ถือว่าเร็วกว่าที่ตลาดคาด แต่ตลาดได้รับรู้ประเด็นดังกล่าวมาตลอดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ทางเราแนะนำ หลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ญี่ปุ่น และขายทำกำไรกองทุนหุ้นญี่ปุ่น ด้วยมุมมองดังต่อไปนี้
Oil gains momentum amid volatile market ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (International Energy Agency: IEA) ปรับคาดการณ์การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในไตรมาส 1/2024 จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เคยประมาณไว้ก่อนหน้าที่ 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากความต้องการน้ำมันของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น และการโจมตีของกลุ่มกบฏฮูตีขัดขวางการขนส่งในทะเลแดง ส่งผลให้เส้นทางเดินเรือยาวขึ้น พร้อมกับปรับลดคาดการณ์ในฝั่งอุปทาน โดยคาดว่าปริมาณการผลิตน้ำมันทั่วโลกจะลดลง8.7 แสนบาร์เรลต่อวันในไตรมาส 1/2024 ซึ่งทาง LH Bank Advisory มีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางราคาน้ำมัน ดังนี้
ประกาศ ณ วันที่ 25 มีนาคม 2567