Front Load ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% ครั้งแรกในรอบ 4 ปี ในการประชุมนโยบายการเงิน FOMC วันที่ 17-18 ก.ย. ที่ผ่านมา และส่งสัญญาณผ่าน Fed Dot Plot ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ภายในสิ้นปีนี้ และลดอีก 1% ในปี 2025 ซึ่งการที่ เฟดปรับลดดอกเบี้ยในลักษณะ Front Load หรือลดแบบเร็วและแรง สะท้อนการตอบรับต่อสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอในเศรษฐกิจ โดยเฟดได้ปรับคาดการณ์การว่างงานในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 4.0% เป็น 4.4% ซึ่งทาง LH Bank Advisory ประเมินความเป็นไปได้ของการเกิดเศรษฐกิจถดถอยจากประเด็นดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ จากแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุด แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัว 2.9% ในไตรมาส 3/2024 ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 0.1%MoM ในเดือนส.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 0.2% และการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมเพิ่มขึ้น 0.8%MoM ในเดือนส.ค. หลังจากร่วงลง 0.9% ในเดือนก.ค. สะท้อนว่าภาพเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ยังไม่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ตามความอ่อนแอของตลาดแรงงาน และความเข้มงวดของมาตรฐานในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อจำกัดความเสี่ยงของหนี้เสีย อาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต ดังนั้นทางเราจึงแนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่มีความทนทานต่อภาวะตลาด (Defensive stocks) เป็นหลัก เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน
Growth Engines and Opportunities in Thai Market ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นกว่า 10% ภายหลังจากเหตุการณ์ 2nd Black Monday โดยได้รับแรงหนุนจากเสถียรภาพทางการเมือง และนโยบายภาครัฐที่ชัดเจน รวมทั้งนโยบายสนับสนุนตลาดทุนไทย อย่างกองทุนวายุภักษ์ ที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินกว่า 1.5 แสนล้านบาท เข้ามาอุดหนุนตลาดหุ้นเช่นกัน ทางเราประเมินว่าราคาหุ้นได้ Price in เกี่ยวกับนโยบายดังกล่าวไปแล้ว และนโยบายต่างๆ ยังไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้ อย่างไรก็ตามในขณะนี้เราเริ่มเห็นแสงสว่างจากนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะนโยบาย “New Growth Engine” ด้วยเหตุนี้ทางเราจึงมองว่าด้วยนโยบายนี้จะผลักดันอุตสาหกรรมต่างๆ ดังนี้
ด้วยเหตุนี้ประเมินว่า New Growth Engine จะช่วยให้เกิด New S-Curve ของประเทศไทย ซึ่งหากได้โครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพแล้ว จะมีการนำเทคโนโลยีไปใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ หรือการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ มากขึ้น ในขณะนี้ทางเราเล็งเห็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่เห็นความชัดเจนว่าทางรัฐบาลจะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่มากน้อยเพียงใด ดังนั้นทางเราจึงประเมินว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 – 10 ปี ในการทำให้อุตสาหกรรมใหม่เติบโต จนกระทั่งสามารถสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทได้ และทำให้บริษัทเข้าไป Listed อยู่ในตลาดทุนไทยได้ จึงแนะนำให้เลือกลงทุนตลาดหุ้นไทย เพื่อรับการเติบโตในอนาคต
ประกาศ ณ วันที่ 23 กันยายน 2567