Markets Need a Halloween Surprise to Break Deadlock หลังจากนี้ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มเข้าสู่ทางตัน (Deadlock) ตามความไม่แน่นอนในหลายปัจจัย เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดี ประกาศผลประกอบการ และสงครามอิสราเอล ทั้งนี้สิ่งที่จะกำหนด ทิศทางการลงทุนทลายทางตันนี้คือ ข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจ ทางเราจึงประเมินว่า “Positive Surprise” เป็นสิ่งที่ตลาดต้องติดตามในช่วงสุดท้ายของปีจนถึงไตรมาสแรกปี 2025 โดยล่าสุดดัชนี Economic Surprise Index (ESI) บ่งชี้ตัวเลขเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริงเวลานี้ดีกว่าที่คาด ครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และสร้างความคาดหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะก้าวผ่าน Soft Landing ไปสู่ No Landing ทั้งนี้ความคาดหวัง No Landing นั้นทางเรามองว่ารายงานตัวเลขของตลาดบ้านในสหรัฐฯ นั้นสำคัญ เพราะนอกจากเป็นสัดส่วนใหญ่สุดของภาคบริโภคซึ่งตัวประกอบสำคัญของ GDP แล้วนั้น ยังเป็นตลาดที่รับผลกระทบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยตรงที่รวดเร็วสุดอีกด้วย ดังนั้นการฟื้นตัวของตลาดบ้านในสหรัฐฯ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะหลุดพ้นจากภาวะชะลอตัวได้ อย่างไรก็ตามทางเราประเมินสถานการณ์ของตลาดบ้านในช่วงที่ปี 2024 ถึง 1Q2025 ไว้ดังนี้
จากสถานการณ์ทั้งสองบ่งชี้ภาพการฟื้นตัวของตลาดบ้านฝั่งอุปสงค์ยังค่อนข้างจำกัด ขณะเดียวกันมีโอกาสเห็นการฟื้นตัวจากฝั่งอุปทานก่อน ด้วยเหตุนี้ Positive Surprise ตลาดบ้านนอกจาก Building Permits ที่ฟื้นตัวแล้ว ยังมีการปรับลดลงของราคาบ้านซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อในส่วนดังกล่าวได้บ้าง ขณะเดียวกันความน่าสนใจของหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันด้วยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MBS) เริ่มไม่จูงใจ เนื่องจากผลการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทำให้ดอกเบี้ยบ้านปรับลดลงรวดเร็วกว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ส่งผลต่อส่วนต่างของทั้งสองแคบลงอย่างรวดเร็ว บ่งชี้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนหลักทรัพย์มีความน่าสนใจลดลงได้ อย่างไรก็ตาม Fed เป็นนักลงทุนรายใหญ่สำคัญที่ถือ MBS จากผลของการทำมาตราการ QE ช่วงวิกฤตโควิดอีกด้วย กลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ทางเราแนะนำลดการถือครองสินทรัพย์ MBS พร้อมลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่าและผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ
กนง. ลดดอกเบี้ย หุ้นไทยไป 1,800 จุด สัปดาห์ที่ผ่านมา กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ในระดับ 2.25% ซึ่งเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น 1.3% โดยทางกนง. ให้เหตุผลของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้ง ด้วยเป้าหมายของการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ, รักษาเสถียรภาพด้านราคา, และลดการสะสมความไม่สมดุลทางการเงิน ซึ่งจาก Arch Lumpini ฉบับวันที่ 23 ก.ย. 2024 หัวข้อ “Thailand’s growth engine can improve capital market” ที่แสดงถึงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของตลาดทุนไทย แต่ยังถูกกดดันด้วยอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และขาดความชัดเจนของอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ในไทย ด้วยเหตุนี้ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าถึงโอกาสในการเติบโตของตลาดทุนไทยแล้ว การผ่อนคลายความตึงตัวด้านสินเชื่อ ช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาไทยเผชิญกับความตึงตัวด้านเศรษฐกิจจากตัวเลข Financial Condition ที่ตึงตัวเมื่อเทียบกับช่วงก่อน Covid ด้วยปัจจัยจากการปล่อยสินเชื่อภาคธุรกิจที่ลดลง โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อของ SMEs ด้อยลง จาก NPL ratio ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงมีเสถียรภาพด้านสินเชื่ออยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อทาง กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะส่งผ่านต้นทุนเงินทุนไปสู่ธุรกิจ SMEs ได้ค่อนข้างรวดเร็ว ทางเราจึงประเมินว่าในภาคธุรกิจจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วง High Season สำหรับการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งจากข้อมูลในอดีตพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากที่สุดในช่วงเดือน พ.ย.- ม.ค. เช่นกัน โดย กนง. ประเมินว่าในปี 2024 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 2.7% และในปี 2025 จะขยายตัวได้อีก 2.9% จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และช่วยรักษาเสถียรภาพด้านค่าเงิน เป็นปัจจัยหนุนการส่งออกให้เติบโตมากขึ้น ประกอบกับทาง กนง. คาดการณ์ว่าในปี 2025 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของไทย จะเพิ่มขึ้น 1.2% ในหน้า ซึ่งเข้าใกล้กรอบเป้าหมายของ กนง. และจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง การลงทุนด้าน Data Center มีแนวโน้มที่ชัดเจนมากขึ้น จาก Competitive Advantage ของไทยเมื่อเทียบกับบริษัทในอาเซียน และนโยบาย Cloud First Policy จากทางภาครัฐเป็นส่วนช่วยดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก อย่าง Alphabet ให้เข้ามาลงทุนในประเทศ โดยประกาศเงินลงทุนในเฟสแรกมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมแผนลงทุนสร้าง Data Center และ Cloud Region จึงเห็นแนวทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ผ่านเครื่องยนต์ใหม่ของประเทศ ซึ่งข้อมูลจาก BOI พบว่ามีบริษัทเข้ามาลงทุน Data Center จากทั่วโลกกว่า 46 แห่ง รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้นของการเติบโตในประเทศไทย และทางเราประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถเติบโตจากธุรกิจดังกล่าวได้ ด้วยเหตุนี้ปัจจัยมหภาคที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ในอนาคต ซึ่งช่วยหนุนตลาดทุนไทยให้เติบโตขึ้น และด้วย Valuation ของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีในอดีต ไม่เพียงเท่านั้นจาก Figure 4.1 พบว่าสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้นั้น ส่งผลให้หุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า จึงแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นไทย
ประกาศ ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2567