ลูกค้าบุคคล > LH Bank Advisory > Weekly Report > Wealth Weekly Report 21-10-2024

Wealth Weekly Report 21-10-2024
 

HALLOWEEN'S SURPRISE
  • ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มเข้าสู่ทางตัน (Deadlock) ตามความไม่แน่นอนในหลายปัจจัย เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดี เป็นต้น ทั้งนี้สิ่งที่จะกำหนดทิศทางลงทุนเพื่อทลายทางตันนี้คือ ข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจ ที่ดีกว่าคาด หรือ “Positive Surprise” โดยทางเราทำการประเมินไปที่สถานการณ์ของตลาดบ้านซึ่งรับผลกระทบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยตรงและรวดเร็วที่สุด ซึ่งการฟื้นตัวของตลาดบ้านจะถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะหลุดพ้นจากภาวะชะลอตัวได้ 
  • ทางเราประเมินว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น จาก กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์ที่ผ่าน เพื่อช่วยประคับประคองความตึงตัวทางด้านสินเชื่อ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่กำลังเผชิญกับหนี้เสียเพิ่มขึ้น และการเติบโตของหนี้สินที่ชะลอตัวลง ซึ่งในช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยวประเทศไทย ทาง ธปท. จึงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเข้าใกล้กรอบเป้าหมายของ ธปท. มากขึ้น อีกทั้งความชัดเจนด้านธุรกิจรูปแบบใหม่ที่มีความชัดเจนมากขึ้น จาก Competitive Advantage ของไทย สำหรับธุรกิจ Data Center ที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศในอาเซียน และนโยบายจากทางภาครัฐเอื้อต่อการเติบโตในกลุ่มธุรกิจดังกล่าว จะช่วยหนุนเศรษบกิจ และตลาดทุนไทยให้เติบโตขึ้น จึงแนะนำทยอยสะสมหุ้นไทย

TOPIC FOCUS

Markets Need a Halloween Surprise to Break Deadlock

หลังจากนี้ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มเข้าสู่ทางตัน (Deadlock) ตามความไม่แน่นอนในหลายปัจจัย เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดี ประกาศผลประกอบการ และสงครามอิสราเอล ทั้งนี้สิ่งที่จะกำหนด
ทิศทางการลงทุนทลายทางตันนี้คือ ข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจ ทางเราจึงประเมินว่า “Positive Surprise” เป็นสิ่งที่ตลาดต้องติดตามในช่วงสุดท้ายของปีจนถึงไตรมาสแรกปี 2025 โดยล่าสุดดัชนี Economic Surprise Index (ESI) บ่งชี้ตัวเลขเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริงเวลานี้ดีกว่าที่คาด ครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และสร้างความคาดหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะก้าวผ่าน Soft Landing ไปสู่ No Landing

ทั้งนี้ความคาดหวัง No Landing นั้นทางเรามองว่ารายงานตัวเลขของตลาดบ้านในสหรัฐฯ นั้นสำคัญ เพราะนอกจากเป็นสัดส่วนใหญ่สุดของภาคบริโภคซึ่งตัวประกอบสำคัญของ GDP แล้วนั้น ยังเป็นตลาดที่รับผลกระทบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยตรงที่รวดเร็วสุดอีกด้วย ดังนั้นการฟื้นตัวของตลาดบ้านในสหรัฐฯ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะหลุดพ้นจากภาวะชะลอตัวได้

อย่างไรก็ตามทางเราประเมินสถานการณ์ของตลาดบ้านในช่วงที่ปี 2024 ถึง 1Q2025 ไว้ดังนี้

  • อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเริ่มลดลง ทำให้ผู้ซื้อบ้านมีอำนาจซื้อมากขึ้น จนเห็นยอดการยื่นขอสินเชื่อและรีไฟแนนซ์ปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่เมื่อพิจารณาภาพรวมของตลาดยังมองว่าดอกเบี้ยบ้านมีทิศทางปรับลดลงได้อีกในปี 2025 ดังนั้นทิศทางดอกเบี้ยบ้านดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้ซื้อและรีไฟแนนซ์บ้านมีแนวโน้มเริ่มยื่นขอสินเชื่อมากขึ้นเนื่องจากรับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยที่ธนาคารสามารถสร้างได้เริ่มลดลงกดดันกำไรของธนาคารแต่มีโอกาสปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นมาทดแทน  
  • ยอดใบอนุญาตก่อสร้างบ้าน (Building Permits) เดือน ส.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และทางเราคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในเดือน ก.ย. จนเป็นหนึ่งใน Positive Surprise ที่ทางเราติดตาม เนื่องจากความคาดหวังของผู้ประกอบการบ้านฟื้นตัวหลังการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ Fed จะกระตุ้นให้ความต้องการซื้อมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามราคาบ้านและอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูงกว่าในอดีต ทำให้ผู้ซื้อรายใหม่ต้องเผชิญความกดดันด้านราคากับอัตราจำนองที่สูงอยู่จึงเป็นเหตุให้เกิดอุปทานส่วนเกินช่วงสั้นกดดันราคาบ้านให้ปรับลดลงตามมา

จากสถานการณ์ทั้งสองบ่งชี้ภาพการฟื้นตัวของตลาดบ้านฝั่งอุปสงค์ยังค่อนข้างจำกัด ขณะเดียวกันมีโอกาสเห็นการฟื้นตัวจากฝั่งอุปทานก่อน ด้วยเหตุนี้ Positive Surprise ตลาดบ้านนอกจาก Building Permits ที่ฟื้นตัวแล้ว ยังมีการปรับลดลงของราคาบ้านซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อในส่วนดังกล่าวได้บ้าง

ขณะเดียวกันความน่าสนใจของหลักทรัพย์ที่ได้รับการค้ำประกันด้วยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MBS) เริ่มไม่จูงใจ เนื่องจากผลการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทำให้ดอกเบี้ยบ้านปรับลดลงรวดเร็วกว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี  ส่งผลต่อส่วนต่างของทั้งสองแคบลงอย่างรวดเร็ว บ่งชี้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนหลักทรัพย์มีความน่าสนใจลดลงได้ อย่างไรก็ตาม Fed เป็นนักลงทุนรายใหญ่สำคัญที่ถือ MBS จากผลของการทำมาตราการ QE ช่วงวิกฤตโควิดอีกด้วย กลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ทางเราแนะนำลดการถือครองสินทรัพย์ MBS พร้อมลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่าและผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ 

กนง. ลดดอกเบี้ย หุ้นไทยไป 1,800 จุด

สัปดาห์ที่ผ่านมา กนง. มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ในระดับ 2.25% ซึ่งเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น 1.3% โดยทางกนง. ให้เหตุผลของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้ง ด้วยเป้าหมายของการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ, รักษาเสถียรภาพด้านราคา, และลดการสะสมความไม่สมดุลทางการเงิน ซึ่งจาก Arch Lumpini ฉบับวันที่ 23 ก.ย. 2024 หัวข้อ “Thailand’s growth engine can improve capital market” ที่แสดงถึงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของตลาดทุนไทย แต่ยังถูกกดดันด้วยอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และขาดความชัดเจนของอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ในไทย ด้วยเหตุนี้ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าถึงโอกาสในการเติบโตของตลาดทุนไทยแล้ว

การผ่อนคลายความตึงตัวด้านสินเชื่อ ช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาไทยเผชิญกับความตึงตัวด้านเศรษฐกิจจากตัวเลข Financial Condition ที่ตึงตัวเมื่อเทียบกับช่วงก่อน Covid ด้วยปัจจัยจากการปล่อยสินเชื่อภาคธุรกิจที่ลดลง โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อของ SMEs ด้อยลง จาก NPL ratio ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงมีเสถียรภาพด้านสินเชื่ออยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อทาง กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะส่งผ่านต้นทุนเงินทุนไปสู่ธุรกิจ SMEs ได้ค่อนข้างรวดเร็ว ทางเราจึงประเมินว่าในภาคธุรกิจจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป 

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วง High Season สำหรับการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งจากข้อมูลในอดีตพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากที่สุดในช่วงเดือน พ.ย.- ม.ค. เช่นกัน โดย กนง. ประเมินว่าในปี 2024 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 2.7% และในปี 2025 จะขยายตัวได้อีก 2.9% จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และช่วยรักษาเสถียรภาพด้านค่าเงิน เป็นปัจจัยหนุนการส่งออกให้เติบโตมากขึ้น ประกอบกับทาง กนง. คาดการณ์ว่าในปี 2025 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของไทย จะเพิ่มขึ้น 1.2% ในหน้า ซึ่งเข้าใกล้กรอบเป้าหมายของ กนง. และจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง

การลงทุนด้าน Data Center มีแนวโน้มที่ชัดเจนมากขึ้น จาก Competitive Advantage ของไทยเมื่อเทียบกับบริษัทในอาเซียน และนโยบาย Cloud First Policy จากทางภาครัฐเป็นส่วนช่วยดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก อย่าง Alphabet ให้เข้ามาลงทุนในประเทศ โดยประกาศเงินลงทุนในเฟสแรกมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมแผนลงทุนสร้าง Data Center และ Cloud Region จึงเห็นแนวทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ผ่านเครื่องยนต์ใหม่ของประเทศ ซึ่งข้อมูลจาก BOI พบว่ามีบริษัทเข้ามาลงทุน Data Center จากทั่วโลกกว่า 46 แห่ง รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้นของการเติบโตในประเทศไทย และทางเราประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถเติบโตจากธุรกิจดังกล่าวได้

ด้วยเหตุนี้ปัจจัยมหภาคที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ในอนาคต ซึ่งช่วยหนุนตลาดทุนไทยให้เติบโตขึ้น และด้วย Valuation ของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีในอดีต ไม่เพียงเท่านั้นจาก Figure 4.1 พบว่าสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้นั้น ส่งผลให้หุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า จึงแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นไทย

Weekly Report 21-10-2024

ประกาศ ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2567

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง