ลูกค้าบุคคล > LH Bank Advisory > Weekly Report > Wealth Weekly Report 09-09-2024

Wealth Weekly Report 09-09-2024
 

SELL IN SEPTEMBER?
  • หลังจากประธาน Fed ได้ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายนนี้ สอดคล้องกับตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (ISM Manufacturing PMI) เดือนสิงหาคม ออกมาต่ำกว่าคาด และยังคงอยู่ในโซนหดตัว ในขณะที่ GDP 2Q24 เติบโตขึ้น 3.0% มากกว่าที่ตลาดคาด สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่เข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจถดถอยในขณะนี้ ทาง LH Bank Advisory จึงประเมินว่า Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนกันยายนนี้ ส่งผลให้ตราสารหนี้ระยะยาว ได้รับอานิสงส์จาก Coupon Rate ที่สูงกว่า ตราสารหนี้ที่จะออกมาในอนาคต เช่นเดียวกับหุ้น Long Duration ค่อนข้างอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตาตัวเลขตลาดแรงงานที่อ่อนแอ อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต จึงแนะนำให้ลงทุนในทั้งตราสารหนี้และหุ้น Long Duration โดยคุมสัดส่วนหุ้นไม่เกิน 20%
  • ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าภาพรวมทางเศรษฐกิจของเวียดนามยังคงแข็งแกร่ง และเมื่อพิจารณาด้าน Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยดัชนี VN Index เทรดอยู่ที่ Forward P/E 11.7 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 13.3 เท่า ส่วนภาคการส่งออกเติบโต 15.7%YoY ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปีนี้ จากอานิสงส์สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยหนุนตลาด อย่างไรก็ตามการรักษาโมเมนตัมการเติบโตด้านการส่งออกยังคงต้องเผชิญความท้าทาย ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความความกังวลต่อประเด็นเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ตลาดการลงทุนอยู่ในภาวะ “Risk off” จึงแนะนำรอจังหวะ buy on dip โดยกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนามที่ทางเราแนะนำคือ กองทุนเปิด Principal Vietnam Equity Fund (Principal VNEQ-A)

TOPIC FOCUS

Long duration assets will be benefited amid easing monetary policy

‘Sell in September’ กลายเป็นวลีเด็ดที่พบได้ทั่วไปในข่าวสารการลงทุน เนื่องจากผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นสหรัฐฯ ในเดือนกันยายนติดลบ ในขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์ กล่าวสุนทรพจน์ในงาน Jackson Hole ในท่าที Dovish พร้อมกับบอกว่า “The time has come for policy to adjust” ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC วันที่ 17 - 18 ก.ย. 24 ซึ่งเมื่อพิจารณาจาก Valuation ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในขณะนี้ถือว่าค่อนข้างแพง ทาง LH Bank Advisory จึงมองว่าหากมีตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแย่กว่าคาดการณ์ ตลาดจะเริ่มกังวลเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น และจะกลายเป็น Bad news is ‘Too’ bad news ซึ่งราคาหุ้นพร้อมรับกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้นทุกเมื่อ และประเมินว่าถึงเวลา Rotation ของตลาดหุ้นแล้ว

ตอกย้ำสมมติฐานของเรา ด้วยตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (ISM Manufacturing PMI) เดือนสิงหาคม ออกมาที่ระดับ 47.2 ต่ำกว่าคาดที่ระดับ 47.5 แม้จะฟื้นตัวจากเดือนก่อนหน้าก็ตาม ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq Composite ติดลบกว่า 3.2% โดยติดลบมากที่สุดนับตั้งแต่ Black Monday ในเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งดัชนี PMI ภาคการผลิตอยู่ในโซนหดตัวเกือบทุกเดือนนับตั้งแต่ปี 2023 ทางเราจึงประเมินว่าตัวเลขดังกล่าวจะยังคงอยู่ในโซนหดตัวจนกระทั่งมีการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย GDP 2Q24 เติบโตขึ้น 3.0% มากกว่าที่ตลาดคาด สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่เข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจถดถอยในขณะนี้ 

อีกทั้งถึงเวลา Rotation จากหุ้น Magnificent 7 แล้ว จากตลาดคาดการณ์ว่าในปี 2024 Earning จะโต 47%YoY ในขณะที่ปี 2025 จะเพิ่มขึ้นเพียง 18%YoY บ่งชี้ว่าผลประกอบการของหุ้น 7 นางฟ้า จะเติบโตได้ต่ำกว่าปีก่อนหน้า สะท้อนช่วง Growth Stage ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดังนั้นนักลงทุนจะพยายามหาหุ้นที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้มากกว่า 

ประกอบกับ Fed มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดคาดว่าจะปรับลด 1% ในปีนี้ สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าตราสารหนี้ที่มี Duration ยาว จะมีความน่าสนใจมากกว่า ตราสารหนี้ที่มี Duration สั้นกว่า เนื่องจากหากถือตราสารหนี้ระยะยาวจะได้รับ Coupon Rate ที่อยู่ในระดับสูงไปจนกระทั่งครบอายุสัญญา 

ในลักษณะเดียวกันกับหุ้น โดยลักษณะของหุ้น Long Duration คือเป็นหุ้นที่คาดหวังกระแสเงินสดจำนวนมากในอนาคต จึงทำให้อ่อนไหวต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน เนื่องจากเมื่อ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ต้นทุนเงินทุนของบริษัทลดลง นักวิเคราะห์จึงปรับคาดการณ์ Earning ในอนาคตเพิ่มขึ้น มากกว่าหุ้น Short Duration ทำให้อัตราส่วน P/E ปรับตัวลง และทำให้ราคาหุ้นดังกล่าวมีความน่าสนใจมากขึ้น 

ตราบที่ตราสารหนี้จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงผิดในการนัดชำระหนี้ฉันใด หุ้นเองก็จะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจฉันนั้น โดยเฉพาะหุ้น Long Duration เนื่องจากยังไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ ทำให้เมื่อเกิดเศรษฐกิจถดถอย จะส่งผลให้นักลงทุนเลือกที่จะลงทุนในหุ้นที่มีกระแสเงินสดได้ ณ ปัจจุบันก่อน  ซึ่งขณะนี้เห็นสัญญาณจากตัวเลขอัตราจ้างงานชะลอตัวลง ทางเราจึงยังคงจับตาตัวเลขตลาดแรงงานอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากตัวเลขการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 ราย ซึ่งจาก Figure 1.1 พบว่าไม่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเกิดเหตุการณ์ใด ตราสารหนี้จะยังคงให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ ดังนั้นแนะนำให้ลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้ Long Duration โดยคุมสัดส่วนหุ้น Long Duration ไม่เกิน 20%

Market Challenges in Vietnam

ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) กำลังทดสอบแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 1300 จุดเป็นครั้งที่ 4 แต่ยังไม่สามารถผ่านไปได้ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในสหรัฐฯ  และจากปัจจัยภายในประเทศ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเวียดนามยังคงแข็งแกร่ง โดยทาง LH Bank Advisory ประเมินภาพรวมและแนวโน้มทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ดังนี้ 

  • อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 24 เดือนโดยเฉลี่ยของเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็น 6.9–7.4% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 6.9-9.3% ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากแรงกดดันของเงินเฟ้อในระดับ 4.4% ในเดือนก.ค. และการฟื้นตัวของความต้องการสินเชื่อที่ได้รับแนวโน้มเชิงบวกจากอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออก โดยยอดสินเชื่อ ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2024 ขยายตัว 6% เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนธ.ค. 2023 ส่งผลให้ธนาคารต่างๆ มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อระดมเงินทุนในการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้น สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) อยู่ที่ระดับ 52.4 ในเดือนส.ค. แม้จะชะลอลงจาก 54.7 ในเดือนก.ค. แต่ยังอยู่ในโซนขยายตัว จากการเติบโตของคำสั่งซื้อใหม่ สินค้าคงคลังที่ลดลง และการผลิตที่เพิ่มขึ้น
  • ภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีสัดส่วน 13% ของ VN Index มีกำไรลดลง 19.7%YoY ในไตรมาส 2/20024 บ่งชี้ว่ากลุ่มอสังหาฯ ยังเป็นปัจจัยกดดันตลาด แต่มีแนวโน้มฟื้นตัว เมื่อเทียบกับที่ลดลง 30.2% ในไตรมาส 1/2024  โดยได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวของประเทศและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น และปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะเมืองฮานอยมีการออกโครงการใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น แต่ด้วยอุปทานที่จำกัด ส่งผลให้ราคาที่ดินและราคาอพาร์ทเม้นท์ในเมืองฮานอยเพิ่มขึ้น 19% และ 10% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2023
  • ในช่วงแปดเดือนแรกของปีนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีเงินไหลเข้าสู่เวียดนามเพิ่มขึ้น 8.4%YoY มาอยู่ที่ 12.55 พันล้านเหรียญ และในเดือนส.ค. ยอดค้าปลีกขยายตัว 7.9%YoY การผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโต 9.5%YoY จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 17.7%YoY สะท้อนว่าเวียดนามยังสามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ดี
  • เมื่อพิจารณาด้าน Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยดัชนี VN Index เทรดอยู่ที่ Forward P/E 11.7 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 13.3 เท่า และคาดการณ์การเติบโตของ EPS ในปีนี้อยู่ที่ 31.8% นอกจากนี้กลุ่มการเงินที่มีสัดส่วนถึง 44% ของ VN Index มีกำไรเติบโต 19.5% ในไตรมาส 2/2024 จากคุณภาพของสินเชื่อที่ดีขึ้นและการเติบโตของสินเชื่อ

ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าภาพรวมทางเศรษฐกิจของเวียดนามยังคงแข็งแกร่ง ทั้งนี้แม้ว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นเวียดนามตั้งแต่ต้นปี รวมมูลค่า  2,189 พันล้านเหรีญสหรัฐฯ (ณ 5 ส.ค. 2024) แต่มีแนวโน้มว่าจะมีกระแสเงินไหลเข้าจากต่างประเทศจำนวนมากเข้าสู่เวียดนามก่อนที่ทาง FTSE จะประกาศยกระดับเวียดนามเป็น Emerging Market อย่างเป็นทางการ ส่วนภาคการส่งออกเติบโต 15.7%YoY ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปีนี้ จากอานิสงส์สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยหนุนตลาด อย่างไรก็ตามการรักษาโมเมนตัมการเติบโตด้านการส่งออกยังคงต้องเผชิญความท้าทาย ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความความกังวลต่อประเด็นเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ตลาดการลงทุนอยู่ในภาวะ “Risk off” จึงแนะนำรอจังหวะ buy on dip โดยกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเวียดนามที่ทางเราแนะนำคือ กองทุนเปิด Principal Vietnam Equity Fund (Principal VNEQ-A) 

Weekly Report 09-09-2024

ประกาศ ณ วันที่ 09 กันยายน 2567

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง