Inflation is cooling down but avoid betting on data อัตราเงินเฟ้อ (CPI) เดือน เม.ย. ออกมาอยู่ในระดับ 3.4%YoY ตามคาด ซึ่งต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 3.5%YoY ในขณะที่ CPI เดือนต่อเดือน เพิ่มขึ้นเพียง 0.3%MoM ต่ำกว่าคาดและต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 0.4%MoM ในขณะที่ Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐฯ ปรับตัวลงอยู่ในระดับ 4.3% สะท้อนตลาดคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ Fed อาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ อย่างไรก็ตามทางเรามองว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงกว่ากรอบเป้าหมายด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้
อย่างไรก็ตามความอ่อนแอด้านผู้บริโภค กดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจาก GDP 1Q24 ถูกขับเคลื่อนด้วยการบริโภค ซึ่งมีสัดส่วน 68% ของ GDP ส่งผลให้ GDP ขยายตัว 1.6%QoQ อย่างไรก็ตามตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน พ.ค. อ่อนตัวลงอยู่ในระดับ 67 จุด ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ประกอบกับตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภค (Consumer Spending) 1Q24 เพิ่มขึ้นเพียง 0.6%QoQ ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นในไตรมาสก่อนหน้าที่ระดับ 0.8%QoQ บ่งชี้ว่าการบริโภคในภาคครัวเรือนมีแนวโน้มอ่อนแอ ซึ่งด้วยเหตุนี้ทางเราจึงประเมินว่าแม้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่เห็นสัญญาณความอ่อนแอของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จึงยังไม่ตัดความเป็นไปได้ในการเกิดเศรษฐกิจถดถอย ด้วยเหตุนี้ทางเราประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ด้วยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอ่อนแอ จะเป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ทางเราจึงแนะนำกองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth (TMBGQG) ซึ่งลงทุนในหุ้น Quality Growth ที่มีโอกาสเติบโตและมีงบการเงินแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถปรับตัวได้ดีภายใต้สถานการณ์ความผันผวน
Growth Down + Bull Steepening รายงานอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) เดือนเม.ย.ออกมาขยายตัว 3.4% เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ซึ่งเป็นไปตามคาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง โดยพันธบัตรอายุยาวลดลงเร็วกว่าพันธบัตรอายุสั้น เพราะตลาดมีความคาดหวังปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทาง LH Bank Advisory มองว่าลักษณะเส้นผลตอบแทน (Yield Curve) ที่ชันตอนนี้เป็น Bull Steepening โดยนักลงทุนต้องทำความเข้าใจเหตุการณ์ ในครั้งนี้ Bull Steepening เกิดร่วมกับภาวะ Inverted yield curve ที่เกิดมายาวนานตั้งแต่ มี.ค. 2022 บ่งชี้นักลงทุนในตลาดตราสารหนี้เชื่อว่า เศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตตกต่ำ จนมองการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามมา โดยภาวะ Inverted yield curve ถือเป็นสัญญาณที่เตือนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (Recession) ซึ่งปกคลุมตลาดการลงทุนมาแล้วถึง 26 เดือน แต่ยังไม่เกิดวิกฤตตามมาด้วยการจ้างงานที่ยังคงแข็งแกร่ง จนทำให้หลายคนมองว่า Inverted yield curve นี้แตกต่าง ทางเราจึงเกิดคำถามว่าครั้งนี้แตกต่างจริงไหม ? หาก Figure 4 แสดงแนวโน้มการสร้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ในช่วงหลายเดือนหลังการเกิด Inverted yield curve กับพื้นที่สีแดงแสดงช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเส้นประสีเขียวแสดงการกลับตัวของเส้นผลตอบแทนมาเป็น Normal Yield Curve พบว่า ปี 1978 1980 และ 1989 หลังการเกิด Inverted Yield Curve ไปเฉลี่ย 20 เดือน และมีการกลับเป็น Normal Yield Curve ก่อนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และในเดือนธ.ค. 2005 เกิดภาวะถดถอยรอบแรกหลัง 20 เดือนหลังจาก Inverted yield curve รวมถึงมีการพลิกกลับเป็น Normal Yield Curve และหลังจากนั้น 5 เดือน รวมเป็น 25 เดือน กลายเป็นวิกฤตการเงิน (GFC) ตามมา ดังนั้นทางเราจึงสรุปได้ว่าปัจจุบันที่ Bull Steepening ร่วมกับ Inverted yield curve บ่งชี้ถึงอัตราการเติบโตเศรษฐกิจที่เริ่มอ่อนแอลง ขณะที่หากพิจารณาอัตราเงินเฟ้อ ถือว่าขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน จากทั้งราคาพลังงาน และเงินเฟ้อหลักภาคบริการ จะเป็นเหตุให้การตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed จะเกิดหลังจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจเข้าสู่วิกฤตไปแล้ว ทางเราจึงแนะนำวางกลยุทธ์การลงทุนที่มีความระมัดระวังมากขึ้น กลยุทธ์ตราสารหนี้ : ทางเราแนะนำกลยุทธ์ผสมตราสารหนี้ระยะยาวและระยะสั้นเทียบอัตราผลตอบแทนระยะสั้นยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่ระยะยาวรับอานิสงส์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นหลังจากเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย สินค้าโภคภัณฑ์ : สะสมทองคำ เมื่อมีการพักฐาน เพราะทองคำได้ประโยชน์ในฐานะ Safe Haven ตลาดหุ้น : ในช่วง Bull Steepening ที่เศรษฐกิจยังไม่ถดถอย อาจจะเห็นตลาดหุ้นมีการฟื้นตัวรับ Bond Yield ที่ปรับลง อย่างไรก็ตาม ทางเราแนะนำว่าประเด็นเงินเฟ้อยังคงกดดันตลาดลงทุน และ Bond Yield กลับมาขึ้นอีกครั้ง จนสร้างความผันผวน ดังนั้นประเด็นเรื่อง Valuation จะเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องคำนึงถึง เพราะเป็นจังหวะที่หุ้นมูลค่า (Value) จะได้เปรียบหุ้นเติบโต (Growth) เพราะการปรับตัวของราคาในช่วงตลาดปรับฐานจะต่ำกว่าในกรณีที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
Chinese recovery gains momentum ดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (HSCEI) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ปรับตัวขึ้น 16% นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2024 สะท้อนโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยนักลงทุนต่างชาติเริ่มมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นจีนมากขึ้น ส่งผลให้กระแสการลงทุน (fund flows) ไหลสู่ตลาดหุ้นจีนอย่างมีนัยสำคัญ คำถามที่ตามมาคือ การฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนในรอบนี้จะเป็นการฟื้นตัวที่ยั่งยืนหรือไม่? ทาง LH Bank Advisory ประเมินแนวโน้มของเศรษฐกิจจีน ดังนี้
ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าในระยะสั้น Momentum การปรับตัวขึ้นที่แข็งแกร่งบ่งชี้ว่ายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและด้าน Valuation ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำมาก โดยดัชนี HSCEI Index เทรด Forward P/E เพียง 8.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 9.0 เท่า โดยกองทุนแนะนำคือ กองทุนเปิด MEGA 10 CHINA (MEGA10CHINA-A) ที่ลงทุนใน 10 บริษัทของจีนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นความเป็นผู้นำในกลุ่ม Top Chinese Brands อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ และแนวโน้มการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกที่เปราะบาง ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงและความท้าทายที่อาจกดดันต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ประกาศ ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2567