ลูกค้าบุคคล > LH Bank Advisory > Weekly Report > Wealth Weekly Report 18-11-2024

Wealth Weekly Report 18-11-2024
 

TRUMP TO THE MOON
  • ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าตลาดหุ้นจีนจะพบกับแรงต้านจากการกลับมาของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ในวงจำกัด เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางการเงินของสหรัฐฯ ค่อนข้างตึงตัว เมื่อเทียบกับการเข้ารับตำแหน่งของทรัมในสมัยที่ผ่านมา ในขณะที่สัดส่วนการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง การตั้งกำแพงภาษีอาจไม่กระทบกับจีนมากนัก อีกทั้งรัฐบาลจีนสามารถขยายเพดานหนี้ เพื่อออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งยังคงต้องจับตามองการใช้นโยบายตอบโต้ทางเศรษฐกิจของจีนต่อไป อย่างไรก็ตามในช่วงต้นปี 2025 จะมีการประชุม NDRC ที่เป็นการประกาศแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประเมินว่าจะช่วยหนุนตลาดหุ้นจีนให้ฟื้นตัวได้
  • แม้ว่าเวียดนามจะมีปัจจัยบวกจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งด้าน Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยดัชนี VN Index เทรดอยู่ที่ Forward P/E 11.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 13.1 เท่า อย่างไรก็ตามทางเราประเมินว่าเวียดนามจะเผชิญความผันผวนทางการค้า ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ประกอบกับการรักษาโมเมนตัมการเติบโตด้านการส่งออกยังคงต้องเผชิญความท้าทาย ทางเราจึงแนะนำลดสัดส่วนในตลาดหุ้นเวียดนาม เพื่อล็อกกำไรและบริหารความเสี่ยง จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น
  • New Space Economy มีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่น โดยในปี 2023 มูลค่ารวมของอุตสาหกรรมอยู่ที่ $630bn และจะเติบโตเป็น $1,790bn ในปี 2035 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% ซึ่งสิ่งที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมดังกล่าวมาจากนโยบายอวกาศของทรัมป์ 2.0 ที่มุ่งเน้นการทำงานร่วมกับเอกชนลดบทบาทองค์กรรัฐ พริอมมีแผนพัฒนาสำรวจอวกาศเชิงพาณิชย์ให้เกิดขึ้น และมีเป้าหมายผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกในศึกการแข่งขันอวกาศอีกด้วย ทางเรา แนะนำกองทุนเปิด แอล เอช สเปซ อีโคโนมี ฟันด์ (LHSPACE) เป็นกองทุนแรกในประเทศไทยที่เน้นการลงทุนในเศรษฐกิจอวกาศ ในสัดส่วน 10% เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว

TOPIC FOCUS

Xi Jinping vs. Donald Trump, Round 2

ตลาดหุ้นจีนกำลังเผชิญแรงต้านจากการกลับมาของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ซึ่งนักลงทุนกำลังกังวลกับนโยบายกีดกันการค้าอาจมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นมากกว่าช่วงปี 2017 - 2021 ในขณะที่การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ที่ผ่านมา จีนประกาศแพ็คเกจการช่วยเหลือรัฐบาลท้องถิ่นมูลค่า 10 ล้านล้านหยวน ซึ่งรัฐบาลจีนประเมินว่าจะช่วยให้ “Hidden Debt” ของรัฐบาลท้องถิ่นลดลง ส่งผลให้ประหยัดดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย 6 แสนล้านหยวน ซึ่งในไตรมาส 3 GDP เติบโตได้เพียง 4.6% นักลงทุนจึงคาดว่าจากมาตรการที่ออกมาครั้งนี้อาจทำให้จีนไม่สามารถบรรลุการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ 5% ในปีนี้ได้ อย่างไรก็ตามทางเราประเมินว่าแม้จีนจะไม่บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกันการกลับมาของทรัมป์อาจส่งผลต่อตลาดหุ้นจีนค่อนข้างจำกัด

การตั้งกำแพงภาษีอย่างรุนแรงของสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อการส่งออกของจีนในวงจำกัด เนื่องจาก Figure 1.1 พบว่าสัดส่วนการส่งออกของจีน ไปยังสหรัฐฯ และยุโรปชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันได้ขยายฐานการส่งออกไปยังเอเชียอาคเนย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนักลงทุนจีนได้ขยายฐานการผลิตไปยังประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากการลงทุนภาคเอกชนในประเทศจีนที่หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าบริษัทจีนที่ไปกระจายฐานการผลิตยังประเทศอื่นๆ จะยังสามารถส่งออกสินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ ได้ 

สหรัฐฯ ยิ่งพยายามตั้งกำแพงภาษี อาจยิ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจไม่อำนวยให้เกิดนโยบายขาดดุลมากเท่ากับช่วงที่ทรัมป์เข้ามาเป็นประธานาธิบดีครั้งแรก จากหนี้ของรัฐบาลต่อ GDP ที่สูงขึ้นจาก 104% ในปี 2017 มาเป็น 122% ในปัจจุบัน ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้สหรัฐฯ อาจจะขยายเพดานหนี้สินได้ค่อนข้างยาก แม้ว่าจะรัฐบาลเสียงข้างมากในสภาก็ตาม อย่างไรก็ดีเมื่อตั้งกำแพงภาษีขึ้นมาอย่างรุนแรง จะส่งผลให้ราคาสินค้าปรับสูงขึ้น เป็นเหตุให้อัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยก็อาจจะไม่สามารถปรับตัวลงได้ตามคาด ดังนั้นสงครามการค้าครั้งนี้สหรัฐฯ จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากกว่าที่ผ่านมา สำหรับลดการขาดดุลการค้า เพื่อให้ “American Great Again” 

ในขณะที่จีนมีช่องว่างในการขยายเพดานหนี้ เพื่อเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยนักวิเคราะห์คาดหนี้สินต่อ GDP ของจีนอยู่ในระดับ 65% เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่นญี่ปุ่น สหรัฐฯ ถือว่าค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ดีมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมากระตุ้นในช่วงก่อนหน้าอาจยังไม่เห็นผล เนื่องจากระยะเวลาค่อนข้างสั้น ขณะนี้ทางเราจึงยังจับตามองตัวเลขการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะด้านตลาดแรงงาน และการบริโภค

ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องจับตามองนโยบายของสหรัฐฯ และจีน โดยประเมินว่าสงครามการค้าอาจมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ดีเมื่อ Valuation หุ้นจีนค่อนข้างถูกในขณะนี้ และในเดือน มี.ค. 2025 จะมีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) ซึ่งเป็นการประชุมเพื่อวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยคาดว่าจะได้เห็นการพัฒนาเพื่อเป็นแรงหนุนเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้จีนมีศักยภาพด้านการผลิต และสามารถดึงดูดนักลงทุนให้กลับเข้ามาในประเทศได้ ดังนั้นทางเราจึงแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นจีนเมื่อพักฐาน

Vietnam Economy under Trump 2.0

เวียดนามเผชิญกับความผันผวนและความท้าทายทางการค้า จากการที่โดนัล ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 โดยรัฐบาลทรัมป์ 2.0 มีแผนจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอย่างต่ำ 60% และจะเก็บจากสินค้านำเข้าทุกรายการจากทุกประเทศอย่างไม่มีการยกเว้นในอัตรา 10%–20% ซึ่งสร้างทั้งโอกาสและความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจเวียดนาม จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เพิ่มมากขึ้น

สหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดย 10 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 98.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 30% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดของเวียดนาม และมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ มูลค่า 86.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่จีนยังคงเป็นตลาดนำเข้าที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่เวียดนามถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบชิ้นส่วนที่ยังคงผลิตในจีนเป็นส่วนใหญ่ เวียดนามจึงอาจตกเป็นเป้าหมายของมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามเวียดนามอาจพิจารณานำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ จากนโยบายของทรัมป์ที่เน้นความมั่นคงทางพลังงานและการลดขาดดุลการค้าทวิภาคี ในทางกลับกัน เวียดนามอาจได้รับประโยชน์จากการเป็นจุดหมายปลายทางของบริษัทต่างๆ ที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศจีน

นอกจากนี้นโยบายของทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการเข้มงวดกับการย้ายถิ่นฐานที่ผิดกฎหมาย และการลดภาษีนิติบุคคล จะผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ และอาจทำให้ดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม หนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และอาจนำไปสู่การลดกระแสเงินทุนเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่และตลาดชายขอบรวมถึงเวียดนามด้วย  โดยตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นเวียดนามมียอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติมูลค่า 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางการอ่อนค่าของเงินดองกว่า 4% นับตั้งแต่ต้นปี

เมื่อพิจารณาปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ในเดือนต.ค. การส่งออกขยายตัว 4.4%MoM หรือ 10.9%YoY สะท้อนการฟื้นตัวหลังได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นยางิ และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2024 การส่งออกขยายตัว 14.9%YoY และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เบิกจ่ายจริงเพิ่มขึ้น 8.8%YoY เป็น 19.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 7.1%YoY ในเดือนต.ค. ชะลอลงเล็กน้อยจาก 7.6% ในเดือนก่อนหน้า จากการใช้จ่ายภาคการท่องเที่ยวที่ชะลอตัว ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2024 เพิ่มขึ้น 41.3%YoY อยู่ที่ 14.1 ล้านคน ซึ่งใกล้เคียงระดับก่อนโควิดที่ 97.2%

แม้ว่าเวียดนามจะมีปัจจัยบวกจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งด้าน Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยดัชนี VN Index เทรดอยู่ที่ Forward P/E 11.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 13.1 เท่า อย่างไรก็ตามทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าเวียดนามจะเผชิญความผันผวนทางการค้า ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ประกอบกับการรักษาโมเมนตัมการเติบโตด้านการส่งออกยังคงต้องเผชิญความท้าทาย ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทางเราจึงแนะนำลดสัดส่วนในตลาดหุ้นเวียดนาม เพื่อล็อกกำไรและบริหารความเสี่ยง จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น

Trump 2.0 to the moon

สิ่งที่เป็นสินค้าและบริการจากอุตสาหกรรมอวกาศ ถือว่ามีความใกล้ชิดกับเรามากขึ้นทุกวันและมีแนวโน้มถูกใช้มากขึ้นในอนาคต อย่างเช่น GPS, การทำนายความแปรแรวนของสภาพอากาศ และการพัฒนาด้านศักยภาพทางทหาร เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาการศึกษาและพัฒนาด้านอวกาศจะถูกผูกขาดเฉพาะองค์กรรัฐ แต่ในปัจจุบันการศึกษาอวกาศได้เริ่มกระจายไปยังเอกชน หลังมีการปลดล็อกข้อกฏหมายต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า New Space Economy ทำให้มีบริษัทเอกชนเกิดใหม่เข้ามาลงทุนศึกษาอวกาศ โดยมุ่งหวังการเข้าถึงทรัพยากร จนเอื้อให้ Space Economy กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต โดยในปี 2023 มูลค่ารวมอุตสาหกรรมทั้งหมดอยู่ที่ $630bn และคาดว่าจะเติบโต $1,790bn ในปี 2035 หรือเติบโตเฉลี่ยต่อปี (p.a.) อยู่ที่ 9% ถือเป็นตัวเลขที่ดึงดูดให้เหล่าบริษัทเข้าลงทุนธุรกิจดังกล่าว และในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้ที่ฮือฮากันอย่างมาก คือ อีลอน มัสก์ เจ้าของ Space X ออกตัวเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนทรัมป์อย่างเป็นทางการ จนเกิดวลีเด็ดในวันประกาศชัยชนะของทรัมป์ว่า “We have a new star. A star is born, Elon.”

โดยทาง LH Bank Advisory ทำการวิเคราะห์ถึงนโยบายทางอวกาศที่อาจเกิดขึ้นในสมัยที่สองของทรัมป์

  1. โครงการ Artemis: ทรัมป์วางแผนให้สหรัฐกลับไปสำรวจดวงจันทร์และใช้เป็นก้าวสำคัญในการเดินทางสู่ดาวอังคาร โดยคาดว่า SpaceX ของมัสก์เป็นผู้พัฒนายาน Starship สำหรับใช้ในการสำรวจดาวอังคารรวมถึงเป็นผู้ให้บริการระบบลงจอด (Human Landing system) ให้กับทาง NASA อาจจะเข้ามาดูแลโครงการ Artemis ในสมัยของทรัมป์
  2. แผนการตัดงบประมาณรัฐบาลลงอย่างน้อย $2trillion ในส่วนของการสำรวจอวกาศของภาครัฐ และ NASA
  3. Project 2025 : จัดตั้ง National Space Council เพื่อประสานงานการสำรวจและศึกษาอวกาศระหว่างเอกชนกับภาครัฐ พร้อมกับพัฒนาสำนักงานการค้าทางอวกาศภายใต้กระทรวงพาณิชย์ให้พร้อมรับมือกับการค้าอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับอวกาศ เช่น ชิ้นส่วนจรวดที่เคยถูกใช้ในอดีต เป็นต้น และทรัมป์ต้องการปรับโครงสร้างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุน

ด้วยทิศทางของนโยบายอวกาศที่อาจจะเกิดขึ้นในสมัย ทรัมป์ 2.0 ซึ่งมุ่งเน้นการดึงภาคเอกชนเข้ามาลงทุน และลดบทบาทขององค์กรรัฐ ทำให้เกิดการสำรวจอวกาศเชิงพาณิชย์ และมีวัตถุประสงค์ผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกในการแข่งขันอวกาศ ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกได้ทุ่มงบประมาณในโครงการอวกาศเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ในปี 2022 มีการลงทุนรวมสูงถึง $103bn. ข้อมูลจาก Euroconsult

กองทุนเปิด แอล เอช สเปซ อีโคโนมี ฟันด์ (LHSPACE) เป็นกองทุนแรกในประเทศไทยที่เน้นการลงทุนในเศรษฐกิจอวกาศ (Space Economy) โดยกองทุนหลัก Next Generation Space Economy Fund (80%)+VanEck Defense UCITS ETF(20%) ซึ่งทรัมป์มีแผนจัดตั้ง Space Force เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันและความมั่นคงแห่งชาติในอวกาศ ซึ่งจะถูกตั้งเป็นทางการในยุคสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ขณะที่งบประมาณด้านกลาโหมทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากรายงาน MarketsandMarkets ได้ประมาณการงบจ่ายด้านกลาโหมหลังหลายพื้นที่มีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตจาก $2004.7bn. ในปี 2023 และเพิ่มเป็น $2,546.9bn. ในปี 2028 เป็นปัจจัยสนับสนุนให้เห็นการเติบโตของกองทุนอยู่ในแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แม้อยู่ภายใต้สถานการณ์กดดันหลายครั้ง ทางเราจึงแนะนำลงทุนกองทุน LHSPACE ในสัดส่วน 10% เพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนระยะยาว

Weekly Report 18-11-2024

ประกาศ ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2567

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง