ลูกค้าบุคคล > LH Bank Advisory > Weekly Report > Wealth Weekly Report 16-09-2024

Wealth Weekly Report 16-09-2024
 

START EASING CYCLE
  • ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าเงินเฟ้ออยู่ในทิศทางที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่ความอ่อนแอของตลาดแรงงานได้ส่งสัญญาณเตือนถึงโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต สอดคล้องกับส่วนต่างระหว่าง Bond Yield 10 ปี กับ 2 ปีที่ได้เปลี่ยนจาก Inverted Yield Curve เป็น Normal Yield Curve ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง Trigger Point ที่เป็นสัญญาณของ Recession และธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทางเราจึงแนะนำทยอยสะสมในกองทุนเปิดโกลบอลแบรนด์อิควิตี้ (KFGBRAND-A) ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่มีความทนทานต่อภาวะตลาด (Defensive stocks) เป็นหลัก จึงมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว
  • ทางเราประเมินว่าสินทรัพย์ใน Emerging Market Asia มีโอกาสเติบโตในช่วงที่เหลือของปี เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัวลง ทาง Fed จึงมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกระทั่งถึงปี 2025 ประกอบกับ Valuation ของหุ้นที่ค่อนข้างแพง จึงเป็นเหตุให้ Fund Flow ไหลเข้ามายัง EM Asia โดยเศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ดี ในขณะที่เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารกลางในแต่ละประเทศ ส่งผลให้คาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนใน EM Asiaปี 2025 จะเติบโต 29%YoY และ Valuation ค่อนข้างถูกนั้น ทำให้หุ้น EM Asia มีความน่าสนใจมากขึ้น ทางเราจึงแนะนำกองทุน UOBSA ที่ได้รับประโยชน์จากความยืดหยุ่นของกองทุน และ
    นำ AI มาใช้คัดเลือกหุ้น เพื่อลด Human bias

TOPIC FOCUS

Attention shifts to US Labor Market

หลังจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ได้ผ่อนคลายลง แต่กลับพบสัญญาณความอ่อนแอของตลาดแรงงาน ส่งผลให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับการติดตามตัวเลขการจ้างงานมากขึ้น เพื่อประเมินสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอยและคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดหุ้น โดยตลาดได้เปลี่ยนจากโหมดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ (Inflation Scare) เป็นความกังวลเรื่องเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession Fear) ซึ่งทาง LH Bank Advisory ได้ประเมินแนวโน้มตลาดแรงงาน
เงินเฟ้อของสหรัฐฯ และกลยุทธ์การลงทุนไว้ดังนี้

  • ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ (JOLTs) ลดลง 237,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.673 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนม.ค. 2021 โดยสัดส่วนตำแหน่งงานว่างต่อคนว่างงานในสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 1.07 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าก่อน Covid-19 ในปี 2019 และใกล้เคียงกับข้อมูลเมื่อเดือนเม.ย. 2018
  • อัตราการว่างงาน ลดลงจาก 4.3% ในเดือนก.ค. เหลือ 4.2% ในเดือนส.ค. แต่ยังคง trigger กฎของซาห์ม (Sahm Rule) กล่าวคืออัตราว่างงานเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือนสูงกว่าค่าต่ำสุดของค่าเฉลี่ย 3 เดือนในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา อย่างน้อย 0.5% บ่งชี้โอกาสการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
  • ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payroll) ในเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 160,000 ตำแหน่ง และได้ปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ค.สู่ระดับ 89,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานที่ระดับ 114,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้เมื่อพิจารณาตัวเลขการจ้างงานเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือนเพิ่มขึ้น 116,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือนในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ 211,000 ตำแหน่ง สะท้อนการชะลอตัวของตลาดแรงงาน
  • ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 2.5%YoY ลดลงจากที่ขยายตัว 2.9% ในเดือนก่อนหน้า แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเงินเฟ้อหมวดที่อยู่อาศัย (Shelter) ซึ่งมีสัดส่วนหนึ่งในสามของตะกร้าเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 0.5%MoM หรือ 5.2%YoY แต่หากพิจารณาเงินเฟ้อโดยไม่รวมหมวดที่อยู่อาศัย (CPI Less Shelter) พบว่าชะลอตัวเหลือเพียง 1.2%YoY ส่ว
  • เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ในเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 0.28%MoM จาก 0.17%MoM อย่างไรก็ตาม Core CPI ต่อปีเฉลี่ย 3 เดือน (3-month annualized rate) อยู่ที่ 2.1% 

ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าเงินเฟ้ออยู่ในทิศทางที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่ความอ่อนแอของตลาดแรงงานได้ส่งสัญญาณเตือนถึงโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต สอดคล้องกับส่วนต่างระหว่าง Bond Yield 10 ปี กับ 2 ปีที่ได้เปลี่ยนจาก Inverted Yield Curve เป็น Normal Yield Curve ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง Trigger Point ที่เป็นสัญญาณของ Recession และธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทางเราจึงแนะนำทยอยสะสมในกองทุนเปิดโกลบอลแบรนด์อิควิตี้ (KFGBRAND-A) ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่มีความทนทานต่อภาวะตลาด (Defensive stocks) เป็นหลัก จึงมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว

Fed rate cuts may help revive EM Asia

Arch Lumpini ฉบับวันที่ 9 ก.ย. 2024 หัวข้อ “Long duration assets will be benefited amid easing monetary policy” ได้กล่าวถึงเมื่อ Fed เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว ทำให้ตลาดหุ้นจะเกิด Rotation ไปยังหุ้นกลุ่มอื่นในสหรัฐฯ กันไปแล้ว สำหรับ Arch Lumpini ฉบับนี้จึงพานักลงทุนไปวิเคราะห์ตามเส้นทางของ Fund Flow ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยพบว่าเม็ดเงินได้ไหลเข้าเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่ม Emerging market ทั้งตราสารหนี้และหุ้น อีกทั้งเมื่อพิจารณาจาก Figure 3.1 พบว่าสินทรัพย์ในฝั่งของ EM Asia ปรับตัวขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงเห็นปัจจัยในการเติบโตของสินทรัพย์ EM Asia ในช่วงที่เหลือของปี

โดยการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ครั้งนี้ เพื่อป้องกันการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยจะพยายามส่งเสริมให้เศรษฐกิจเกิดภาวะ Soft Landing ซึ่งข้อดีคือเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงเติบโตได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ข้อเสียคือความเสี่ยงของ Recession จะปกคลุมเศรษฐกิจอยู่เนืองๆ ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ เมื่อเป็นเช่นนั้นการจ้างงานจะฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า บ่งชี้การฟื้นตัวของการบริโภคภาคครัวเรือน จะค่อยเป็นค่อยไปเช่นกัน ดังนั้นมีแนวโน้มที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเคลื่อนไหวแบบ Sideway อย่างไรก็ดีเหตุการณ์นี้เองจะเป็นประตูนำไปสู่การหาสินทรัพย์การลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะในภูมิภาค EM Asia

เศรษฐกิจในกลุ่ม EM Asia ที่แตกต่างกับ Developed market ตรงที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย ในขณะที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ดี รวมถึงบางประเทศเพิ่งฟื้นตัวมาได้ โดย GDP ของประเทศอินเดีย 2Q24 ปรับตัวขึ้น 6.7%YoY และ GDP ของประเทศมาเลเซีย เติบโตขึ้น 5.9%YoY ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของ EM Asia ยังคงขยายตัวได้ หรือประเทศไทยที่ฟื้นตัวได้แม้ว่ายังไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ตาม ซึ่งสวนทางกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ผลประกอบการณ์ของบริษัทจดทะเบียนในปี 2025 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 29% ในปี 2025 สูงกว่า DM ที่คาดจะเติบโตเพียง 19% ประกอบกับ Valuation ค่อนข้างถูก โดย Forward P/E ย้อนหลัง 5 ปี ของ MSCI EM Asia Equity อยู่ในระดับ 13.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเกือบลบ 1SD ดังนั้นในช่วงที่เหลือของปี หุ้นของ EM Asia จึงมีความน่าสนใจ

ในทำนองเดียวกัน ตราสารหนี้ในกลุ่ม EM Asia ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้ตลาดตราสารทุน โดยเมื่อเทียบกับ Govt Bond Yield ของ EM Asia ให้ผลตอบแทนประมาณ 4.3% ในขณะที่ DM Bond Yield อยู่ที่ประมาณ 3.4% เนื่องจากธนาคารกลางใน EM Asia ยังไม่ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตราสารหนี้สหรัฐฯ ก่อน เป็นเหตุให้ตราสารหนี้ของ EM Asia ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงของตราสารหนี้ EM Asia ค่อนข้างต่ำ โดยเมื่อเทียบจาก Default Rate ที่ลดลงจากช่วงก่อนหน้า และ CDS ที่ปรับลดลงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มองเห็นโอกาสในการเข้าลงทุนสำหรับตราสารหนี้ EM Asia

ด้วยเหตุนี้ทาง LH Bank Advisory จึงแนะนำกองทุน UOBSA (กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท เอเชีย) ที่ลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพของเอเชีย โดยใช้ AI เข้ามาคัดเลือกหุ้นทั่วทั้งเอเชียกว่าหมื่นบริษัท เพื่อคัดเลือกหุ้นเหลือเพียง 50 บริษัท จากพื้นฐานทางเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้น เพื่อลด Human bias และให้ผู้จัดการกองทุนคัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้ในช่วงนั้น ซึ่งกองทุนค่อนข้างมีความยืดหยุ่น จากที่มีการปรับพอร์ตอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงอย่างรุนแรง แต่กองทุน UOBSA ยังคงทำผลตอบแทนได้ดีกว่าค่าเฉลี่ย
 

Weekly Report 16-09-2024

ประกาศ ณ วันที่ 16 กันยายน 2567

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง