ECB ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบ 5 ปี มีโอกาสถูก Sell on Fact การประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) วันที่ 6 มิ.ย. 24 มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงสู่ระดับ 4.25% หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อ (CPI) ในเดือน พ.ค. ปรับตัวลงอยู่ในระดับ 2.6% เข้าใกล้กรอบเป้าหมายที่ระดับ 2% อีกทั้งการบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลง ประกอบกับเศรษฐกิจที่เพิ่งฟื้นตัวจาก Technical Recession จึงตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามทางเราประเมินว่าการลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB ในครั้งนี้จะส่งผลให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐาน ด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้
อย่างไรก็ตามการกู้ยืมของยุโรปส่วนใหญ่มาจากภาคธนาคาร ส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทในยุโรปค่อนข้างอ่อนไหว (Sensitive) ต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบาย บ่งชี้ว่าตัวเลขคำขอสินเชื่อใหม่ (New Loan) ที่ชะลอตัวลงจะกลับมาฟื้นตัวได้ในระยะถัดไป และเมื่อต้นทุนบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวลดลง อีกทั้งการบริโภคภายในประเทศกลับมาฟื้นตัว เป็นเหตุให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มฟื้นตัวตามไปด้วย ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปมีโอกาสฟื้นตัวในระยะถัดไป ดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อหุ้นยุโรปเมื่อพักฐาน
Modi wins 3rd term as India's prime minister ชัยชนะของพรรค BJP ของ นายกรัฐมนตรี โมดี ในการเลือกตั้ง 2024 ออกมาน่าผิดหวังได้ที่นั่ง 293 จาก 543 ที่นั่ง ลดลงจากผลเลือกตั้งครั้งก่อนถึง 59 ที่นั่ง ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตลาดและพรรคคาดไว้ จนสะท้อนภาพรัฐบาลผสมที่อำนาจของพรรค BJP ลดลง และสร้างความยากลำบากการรับตำแหน่งของโมดี การบริหารงาน และการดำเนินนโยบายในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้ สร้างคำถามแก่นักลงทุนถึงความเสี่ยงที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอินเดียจะชะลอตัวลงหรือไม่หลังการเลือกตั้ง จากที่ตลาดคาดหวังเติบโตเฉลี่ยปีละ 6.8%-7% ในปี 2024-25 สะท้อนไปที่ตลาดหุ้นอินเดียสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดแรงขายทำกำไรจน Nifty 50 ปรับตัวต่ำสุดสู่ระดับ 21,281 จุด (-9% จากจุดสูงสุด 23,338) ทาง LH Bank Advisory จึงประเมินนโยบายเด่นของรัฐบาลโมดีสมัยที่ 3 เพื่อพาเศรษฐกิจอินเดียขึ้นแท่นเป็นอันดับที่ 3 ของโลก จากปัจจุบันอันดับที่ 5
หากพิจารณานโยบายถือว่าเอื้อให้อัตราการเติบโตของอินเดียยังคงโดดเด่น แต่อย่างไรก็ตามด้วยผลของรัฐบาลผสมสูตรใหม่ ถือเป็นแรงกดดันที่มองข้ามได้ยาก เพราะสะท้อนถึงอุปสรรคในการดำเนินนโยบายในอนาคต ขณะที่ทางเราได้ย้ำถึง Valuation ของตลาดหุ้นอินเดียค่อนข้างตึงตัว ทำให้เมื่อมีปัจจัยเชิงลบมากระทบจึงสร้างความผันผวนสูงแก่ตลาด โดยมีหลักฐานบ่งชี้จาก VIX index ปรับเข้าสู่โซนที่ตลาดเกิดความกังวล เมื่อพิจารณาการปรับกำไรต่อหุ้น (EPS) ในอดีตหลังการเลือกตั้งปี 2014 และ 2019 ตลาดเริ่มปรับ EPS ตลาดอินเดียหลังผลเลือกตั้งออก 3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้น ตลาดเริ่มเห็นเสถียรภาพทางการเมือง ส่งผลให้มูลค่าตลาดอยู่ในระดับที่น่าสนใจมากขึ้น พร้อมมี Upside จากการปรับลดลงของราคา ทั้งนี้ทางเราแนะนำกลยุทธ์สำหรับตลาดหุ้นอินเดีย เหมาะสำหรับการสร้างพอร์ตทางเลือกที่หวังสร้างผลตอบแทนพอร์ตรวมให้โดดเด่น (Satellite Port) โดยเข้าลงทุนแบบทยอยซื้อเมื่อปรับฐาน (Buy on dip) ด้วยน้ำหนัก 10-20% ของพอร์ตการลงทุนรวม
Opportunities in Korea driven by AI boom ราคาหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก AI ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นมามาก จนเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ทำให้หุ้นอย่าง Nvidia กลายเป็นหุ้นที่มี Market Cap ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ด้วยระดับ Forward P/E ที่ 41.7 เท่า จึงมีโอกาสที่จะเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน ในขณะที่กระแส AI ได้หนุนให้ตลาดหุ้นเอเชีย อย่างดัชนีหุ้นเกาหลี (Kospi Index) ที่มีสัดส่วนของหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ 39% เติบโตอย่างโดดเด่น แต่ดัชนี Kospi Index มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) เพียง 0.96 เท่า และ Forward P/E ที่ 10.7 เท่า ทางเราจึงแนะนำทยอยลดน้ำหนักการลงทุนจากหุ้นเทคสหรัฐฯ ที่มี Valuation ตึงตัว ไปยังหุ้นเทคในเอเชีย อย่างเกาหลีใต้ที่มี Valuation ที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนตลาดหุ้นเกาหลี ดังนี้
ทาง LH Bank Advisory แนะนำทยอยสะสมกองทุน PRINCIPAL KEQ ซึ่งลงทุนในกองทุนหลักคือ iShares MSCI South Korea ETF ที่มีนโยบายลงทุนให้มีผลตอบแทนใกล้เคียงกับ ดัชนี MSCI Korea 25/50 โดย Earning Growth ที่อยู่ในระดับสูง และการเติบโตของ AI ที่แข็งแกร่ง จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่มีสัดส่วนหลักในดัชนีหุ้นเกาหลี
ประกาศ ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2567