Recession or Soft Landing ตัวเลข GDP สหรัฐฯ ขยายตัว 4.9%QoQ ในไตรมาส 3/2023 แม้ว่า Fed จะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 แต่การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคยังเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและค่าจ้างยังคงเติบโตในอัตรามากกว่า 4%YoY ทำให้ผู้บริโภคสามารถรักษาระดับการใช้จ่ายให้สูงขึ้นได้ และภาคอุตสาหกรรมที่กำลังเข้าสู่วงจรการเติมสินค้าคงคลัง (Restocking) สะท้อนจากส่วนต่างระหว่างคำสั่งซื้อใหม่ (New Orders) และสินค้าคงคลัง (Inventories) ของสหรัฐฯ ที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวเป็นบวก ประกอบกับเงินเฟ้อที่ชะลอตัว ซึ่งจาก Bloomberg Consensus คาดการณ์ว่าปี 2024 ดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) ของสหรัฐฯ จะชะลอลงสู่ระดับ 2.7% อัตราการว่างงานจะอยู่ที่ 4.3% เศรษฐกิจจะขยายตัว 1% และผลสำรวจจาก Bloomberg พบว่าโอกาสที่จะเกิด Recession ในสหรัฐฯ ในระยะ 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 51% เศรษฐกิจจึงอาจหลีกเลี่ยงภาวะถดถอย หรือ “Recession” และสามารถเข้าสู่โหมด “Soft Landing" ได้ในปี 2024 อย่างไรก็ตาม ทาง LH Bank Advisory ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ของการเกิด Recession จากประเด็นดังต่อไปนี้
ทั้งนี้ หลังสหรัฐฯ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนต.ค. ที่ต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังว่า Fed ได้ยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว และเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวแบบ Soft Landing อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงข้างต้น ประกอบกับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน และจากความล่าช้า (Lag time) ของการส่งผ่านนโยบายการเงิน ส่งผลให้การเกิดเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ (Recession) อาจจะมีการเลื่อนออกไป (Delay) ดังนั้น เราแนะนำกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ โดยเน้นหุ้นเติบโตคุณภาพดีและความผันผวนต่ำหรือหุ้นปันผล
Is the Stock Market Gearing Up for a Santa Claus Rally? นักลงทุนกำลังก้าวเท้าเข้าสู่ช่วงปิดท้ายของปี และเข้าสู่ช่วงเทศกาลที่สำคัญ โดยเฉพาะเทศกาลคริสมาสต์ ที่ใคร ๆ ก็คาดหวังของขวัญและความสุข รวมถึงนักลงทุนเช่นกัน ที่มีความหวังกับเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นและสร้างความสุขให้กับตลาดหุ้น ทั้งนี้ทาง LH Bank Advisory คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังตื่นตัวรับมุมมองสิ้นสุดวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น พร้อมคาดหวังต่อไปถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในกลางปี 2024 ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ถูกประเมินว่าทรงตัว แต่เงินเฟ้อปรับลดลงต่อเนื่อง (Soft landing) ด้วยความคาดหวังดังกล่าว เป็นปัจจัยสนับสนุนการทะยานปรับตัวสูงขึ้นของดัชนี และเรียกเหตุการณ์นี้ว่า Santa Claus Rally โดยกลุ่มหุ้น High Beta ทำหน้าที่เหมือนซานต้าครอส ที่ผลักดันให้ตลาดหุ้นในเวลานี้ปรับตัวขึ้น เนื่องจาก High Beta รับอานิสงส์เป็นหุ้นกลุ่มแรกหาก Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ทางเราประเมินว่า การเกิด Santa Claus Rally ท่ามกลางภาวะตลาดเกิด การกระจุกตัวในกลุ่มหุ้น High Beta ที่มีมูลค่าแพงเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูง ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ตลาดจะเผชิญแรงขายทำกำไรในระยะถัดไป ที่กลุ่ม High Beta ปรับตัวลงแรง เนื่องจากถ้ามองภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2024 การที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้นั้น ย่อมเกิดหลังอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเข้าสู่ช่วงชะลอตัว (Landing) พร้อมกันในปีหน้า ดังนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่พึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจต้องเผชิญความผันผวนจากการชะลอการเติบโตของกำไร ทางเราจึงแนะนำใช้โอกาสนี้ลดสัดส่วนการลงทุน โดยแบ่งขายทำกำไรบางส่วน ขณะที่อีกส่วนปล่อยราคาขึ้นไปตามกระแสการเก็งกำไร (Let Profit run) ในทางกลับกันการเกิด Landing จะส่งผลให้ Fed ไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยไปสูงกว่าปัจจุบัน แต่ต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง (Higher for Longer) เพื่อควบคุมทิศทางเงินเฟ้อให้เข้าสู่เป้าหมาย ทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐควรอ่อนค่าลง ดังนั้นส่วนของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (Bond Yield) อาจมี Upside เพียงเล็กน้อย และมีโอกาสผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หากสถานการณ์เงินเฟ้อสามารถควบคุมได้ จึงเป็นเหตุผลที่การลงทุนในตราสารหนี้มีความน่าสนใจ และสร้างผลตอบแทนได้ดีในปีหน้า (Year of Bonds) ดังนั้นสถานการณ์ตลาดลงทุนข้างต้น จึงเหมาะสมกับกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือ (Duration) ระยะสั้น ซึ่งในเวลานี้ให้อัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และเป็นการเตรียมสภาพคล่องเพื่อรับมือการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ลงทุน ในยามที่นโยบายอัตราดอกเบี้ยมีการปรับเปลี่ยน ทั้งนี้ทางเราแนะนำ กองทุน Abrdn Global Enhanced Fixed Income (ABGFIX-A)IPO เนื่องจากนโยบายการลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ทั่วโลก ที่มี Duration ไม่เกิน 2 ปี เป็นเหตุให้ความผันผวนของผลตอบแทนพอร์ตต่ำ และมีสภาพคล่องสูง เพราะรายงานหน่วยลงทุนหลัง 1 วันทำการ (NAV;T+1) และสามารถขายคืนได้ภายใน 2 วันทำการ (T+2) อีกทั้งอันดับความน่าเชื่อถือของพอร์ตตราสารหนี้เฉลี่ยระดับ A- ขึ้นไปเพื่อลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ขณะที่เป้าหมาย Portfolio คือ Secured Overnight Financing Rate (SOFR) +1.75-2.25% ซึ่ง SOFR เป็นต้นทุนการเงินข้ามคืนที่สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Fund Rate) ทั้งนี้ส่วนเพิ่มของผลตอบแทน (Enhanced Yield) เกิดจากการกระจายพอร์ตการลงทุน ตราสารหนี้ไปยังหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High yield) ไม่เกิน 20% ของพอร์ตการลงทุน ระดับความเสี่ยงของกองทุน (Risk Level) ที่ระดับ 4 ส่วนสำหรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนจะเป็นไปตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน (Dynamic policy)
TESG น่าลงทุนไหม? จากที่ ครม. มีมติให้จัดตั้งกองทุน Thailand ESG Fund (TESG) หรือ กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน มีนโยบายการลงทุนในหุ้นและ ตราสารหนี้ไทยที่มีการจัดอันดับ ESG จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี โดยนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของรายได้พึงประเมิน ไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งไม่นับรวมกับหมวดค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกันและ การลงทุน ดังนั้นสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 600,000 บาท เงื่อนไขการถือครองระยะเวลา 8 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน นอกจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้วกองทุน ESG มีความน่าสนใจอีก 3 ประเด็นดังนี้ 1.ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง 2.กฎระเบียบให้เปิดเผยข้อมูล ESG เป็นที่ยอมรับทั่วโลก 3.Valuation หุ้น ESG ของไทย อยู่ในระดับที่น่าสนใจ จากผลวิจัยของ MSCI พบว่ากำไรของบริษัทที่มี ESG Score สูงกว่าจะมีการเติบโตของกำไรสูงกว่า บริษัทที่มี ESG Score ต่ำ ส่งผลให้มีการจ่ายปันผลที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากการบริษัทที่มี ESG แข็งแกร่งจะมีความสามารถในการแข่งขันมากกว่าบริษัทอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ความได้เปรียบจากการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนาบุคลากรให้ดีขึ้น รวมทั้งการพัฒนาหรือ การจัดการนวัตกรรมที่ดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับ ESG ในระดับสูงมักจะพัฒนาแผนธุรกิจระยะยาวและแผนสิ่งจูงใจระยะยาวสำหรับผู้บริหารระดับสูงได้ดีกว่า หากพิจารณาจากหุ้น ESG ในประเทศไทยพบว่าบริษัทที่มี ESG1Rating สูงกว่าจะมีความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับ ESG เป็นอย่างมาก โดยที่ ESG ไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสของการดำเนินธุรกิจอีกต่อไป แต่ในปัจจุบันได้ถือเป็นกฎเกณฑ์ทางการค้าและการลงทุนของโลกที่บริษัทต้องให้ความสำคัญ เช่น ภาษีที่จะเรียกเก็บโดย EU, CBAM / ตลาดคาร์บอน หรือภาษีคาร์บอน ส่งผลให้บริษัทที่ไม่สามารถทำตามมาตรฐานในระดับสากล จะไม่สามารถทำการค้ากับประเทศต่างๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทชั้นนำในต่างประเทศประกาศ 100% Carbon Neutral ทั้งตัวบริษัท ตลอดจน Supply Chain ทั้งหมดในปี 2030 ส่งผลให้ในอนาคตอันใกล้บริษัทที่จะขยายฐานลูกค้าไปต่างประเทศจะต้องมีเปลี่ยนแปลงตนเองให้มี ESG อย่างเร่งด่วน หากพิจารณาจาก Valuation จากอัตราส่วน P/BV พบว่า ESG ของหุ้นไทย อยู่ในระดับ 2.17 เท่า อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยซึ่งแพงกว่าหุ้นไทยโดยรวม แม้ว่าหุ้น ESG จะมีความผันผวนที่สูงกว่า SET รวมอย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจาก Maximum Drawdown พบว่าในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา หุ้น ESG ในประเทศไทย มี Maximum Drawdown ในระดับต่ำกว่า ทั้งนี้พบว่าจำนวนหุ้นที่มีการจัดอันดับ ESG มีจำนวนประมาณ 25% เท่านั้นแต่มี Market Cap. ถึง 73% หมายถึงบริษัท ESG ในไทยเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน จึงสรุปได้ว่าหุ้น ESG ของไทยมีโอกาสในการเติบโดได้ในอนาคต ดังนั้นทาง LH Bank Advisory จึงแนะนำให้ลงทุนในกองทุน TESG เพื่อโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนและประโยชน์ทางภาษี
ประกาศ ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566