Personal > LH Bank Advisory > Weekly Report > Wealth Weekly Report 18-03-2024

Wealth Weekly Report 18-03-2024
 

วาสนาผู้ใดหนอ
= ความล่าช้าของงบประมาณและขาดความเชื่อมั่นของผู้ผลิต ทำให้คาดการณ์อัตราการเติบโต GDP ในช่วงไตรมาสแรกของไทยต่ำกว่าระดับ 3% ดังนั้นตลาดจึงหวังพึ่งการปรับลดดอกเบี้ย เพื่อผ่อนคลายสภาพคล่องในระบบ แต่อย่างไรก็ตามเครื่องมือดอกเบี้ยต้องใช้ระยะเวลาถึงจะส่งผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทาง LH Bank Advisory จึงมองว่าตลาดหุ้นไทย (SET) ในครึ่งปีแรกแกว่งตัวในกรอบขาลง แม้ในระยะสั้นมีการฟื้นตัวจากการปรับตัวลงแรงมาทดสอบ 1,400-1,410 จุด แต่มีความเสี่ยงที่จะเห็นการปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนลงจาก 95 บาท/หุ้น สู่ 87 บาท/หุ้น ซึ่งกระทบมูลค่าของตลาดหุ้น ซึ่งเป็นโอกาสให้ Buy on Dip ที่แนวรับ 1,300-1,340 จุด
= ทองคำทะยานขึ้นไปอยู่ระดับ All Time High อย่างต่อเนื่อง จากความคาดหวังของการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed อย่างไรก็ตามทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อาจเลื่อนออกไปและลดจำนวนครั้งลง ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์จะปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ อีกทั้งอุปสงค์ทองคำอ่อนแอลงเมื่อเทียบกับในปี 2022 เป็นเหตุให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตามจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่ากรอบเป้าหมาย อาจนำไปสู่ Stagflation ดังนั้นจึงแนะนำ Take Profit จากราคาทองคำที่พุ่งขึ้นในระยะสั้น ขณะที่ระยะยาวทองคำยังคงอยู่ใน Supercycle จึงแนะนำกลับมา Buy on Dip เพื่อใช้เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากวิกฤตเศรษฐกิจ สัดส่วนการลงทุนที่แนะนำไม่เกิน 10% - 15% ของพอร์ตการลงทุน

TOPIC FOCUS

ศก.ไทย ภายใต้ความล่าช้า ที่จะไม่ได้พร้าเล่มงาม

อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤตโควิด และการฟื้นตัวครั้งนี้กินเวลายาวนานกว่าวิกฤตการเงินโลก (GFC-2551) เสียอีกด้วย ซึ่งครั้งนั้นเศรษฐกิจไทยใช้เวลากลับมาฟื้นตัวภายใน 9 ไตรมาส และยิ่งดูฟื้นตัวช้าเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน อย่าง อินโดนีเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ เป็นต้น

LH Bank Advisory ประเมินปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำในช่วงครึ่งปีแรก และส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้พลาดเป้าหมายที่รัฐบาลเศรษฐาตั้งไว้ในระดับ 5% ต่อปี ตลอดช่วงที่ดำรงตำแหน่ง

1.ความล่าช้าในการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 สืบเนื่องจากปีก่อนมีปัญหาการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า และเวลานี้ พ.ร.บ. งบประมาณ ยังคงมีหลายนโยบายที่ถูกถกเถียงกันในสภา เป็นเหตุให้การลงทุนก่อสร้างของรัฐบาลหดตัว และรอการเบิกจ่ายงบประมาณอยู่ สะท้อนไปที่ปริมาณเบิกจ่ายงบลงทุนเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2566 กับ 2562 ซึ่งเป็นปีที่มีการตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเช่นกัน ออกมาต่ำกว่าถึง 14% ขณะที่เทียบกับไตรมาส 4 ของปีที่ปกติ ต่ำกว่าถึง 33% ข้ามฝากไปพิจารณาฝั่งนโยบายเพื่อกระตุ้นการบริโภค อย่างนโยบายเงินดิจิตอล ที่วงเงิน 560,000 ล้านบาท ถือว่าขาดความชัดเจนและดูยากลำบากที่รัฐบาลจะสามารถประกาศใช้ได้ทันในเดือนพฤษภาคมนี้
2.ภาคการลงทุนของไทยมีแนวโน้มที่ขยายตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เมื่อพิจารณาจาก FDI พบว่า เม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศไทยต่ำกว่าหลายประเทศ ถึงแม้ว่าจะได้อานิสงส์ของการเงินลงทุนต่างประเทศที่ไหลออกจากจีนเหมือนกัน ซึ่งมีปัจจัยสำคัญ อย่างแนวโน้มจำนวนประชากรเกิดใหม่ที่ลดลงพร้อมเข้าสู่วัยผู้สูงอายุมากขึ้น และพฤติกรรมการผลิตของผู้ประกอบการไทยที่เปลี่ยนไป โดยเน้นการนำเข้าจากประเทศที่ผลิตสินค้าราคาถูก เช่น จีน มากกว่าการผลิตในประเทศ เพราะความกังวลใจถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว บ่งชี้จากสินค้าคงคลังลดลงจนติดลบ 72 แสนล้านบาทในปี 2566 ดังนั้นความเชื่อมั่นของผู้ผลิตที่อยู่ในระดับต่ำ สะท้อนไปที่ดัชนีฝ่ายจัดซื้อ PMI ที่ปรับลดลงต่อเนื่องมา 7 เดือนมาสู่ระดับ 45.3 จุด ต่ำกว่า 50 จุด

ด้วยปัจจัยความล่าช้าของงบประมาณและขาดความเชื่อมั่นของผู้ผลิต ทำให้คาดการณ์อัตราการเติบโต GDP ในช่วงไตรมาสแรกของไทยอยู่ต่ำกว่าระดับ 3% ดังนั้นตลาดจึงหวังพึ่งนโยบายการเงิน ด้วยการปรับลดดอกเบี้ย เพื่อผ่อนคลายสภาพคล่องในระบบ อย่างไรก็ตามเครื่องมือดอกเบี้ยต้องใช้ระยะเวลาถึงจะส่งผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทางเราจึงมองว่าหากไร้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ๆ จากฝั่งรัฐบาล ตลาดหุ้นไทย (SET) ยังแกว่งตัวในกรอบขาลง แม้ในระยะสั้นมีการฟื้นตัวจากการปรับตัวลงแรงมาทดสอบ 1,400-1,410 จุด แต่มีความเสี่ยงที่จะเห็นการปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนลงจาก 95 บาท/หุ้น สู่ 87 บาท/หุ้น ซึ่งกระทบมูลค่าของตลาดหุ้น ซึ่งเป็นโอกาสให้ Buy on Dip ที่แนวรับ 1,300-1,340 จุด

TOPIC FOCUS

Gold reaches unprecedented high amid economic uncertainties

ทองคำทะยานขึ้นไปอยู่ระดับ All Time High อย่างต่อเนื่อง จาก บทความ Arch Lumpini ฉบับที่ 06 พ.ย. 23 หัวข้อ Gold Supercycle โดยที่ธนาคารกลางตะวันออกเพิ่มสัดส่วนสำรองทองคำอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเมื่อประธาน Fed มีถ้อยแถลงที่กล่าวว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ส่งผลให้ Bond Yield ปรับตัวลง ดังนั้นเมื่ออัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำลง สินทรัพย์ที่ไม่มีผลของดอกเบี้ยจึงมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะทองคำ ประกอบกับความคาดหวังว่า BoJ จะยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ (Dxy) ปรับตัวลง ด้วยปัจจัยดังกล่าวเป็นเหตุให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้

อย่างไรก็ตามทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าราคาทองคำได้รับรู้ราคา (Price In) จากการลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว และหากไม่เกิดปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอื่นหรือขยายตัวเป็นวงกว้าง อีกทั้งยังไม่เกิดวิกฤติในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่นั้น ประเมินว่าทองคำจะมีการย่อตัวลงในระยะสั้น เนื่องด้วยปัจจัยดังนี้

● การลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อาจเลื่อนออกไปและลดจำนวนครั้งลง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ออกมาที่ระดับ 3.2%(YoY) ในเดือน ก.พ. 24 ซึ่งสูงกว่าเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 3.1%(YoY) และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ออกมาที่ระดับ 3.8%(YoY) สูงกว่านักวิเคราห์คาดที่ระดับ 3.7%(YoY) โดยอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของ Fed อีกทั้งการจ้างงานที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยตัวเลข Nonfarm Payrolls ออกมาที่ระดับ 275,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ส่งผลให้เกิด Demand Pull ดังนั้นการที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย จากเงินเฟ้อที่ลดลงมาอยู่ในกรอบเป้าหมายเป็นไปได้ยาก ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์จะปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ จึงเป็นเหตุให้ราคาทองคำมีโอกาสย่อตัวในระยะสั้น
● อุปสงค์ทองคำอ่อนแอลงเมื่อเทียบกับในปี 2022 ส่งผลให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลงเช่นกัน โดยอุปสงค์ของทองคำในปี 2023 ลดลง 5% เมื่อเทียบกับปี 2022 เนื่องจากธนาคารกลางและสถาบันอื่นๆ ลดความต้องการลง อีกทั้งกองทุน ETF มี Fund Flow ไหลออกสุทธิ ในปี 2023 ประกอบกับนักลงทุนเชื่อว่าเงินเฟ้อผ่านจุดพีคไปแล้วนั้น ทำให้พื้นฐานความต้องการทองคำค่อนข้างอ่อนแอ ดังนั้นราคาทองคำจึงมีแนวโน้มปรับตัวลงในระยะสั้น

อย่างไรก็ตามจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงกว่ากรอบเป้าหมาย อาจนำไปสู่ Stagflation ประกอบกับราคาหุ้นที่ปรับขึ้นแม้ว่าความคาดหวังในการลดอัตราดอกเบี้ยจาก 6 ครั้งนี้ปีนี้ ได้ลดจำนวนลง และเลื่อนระยะเวลาในการลดอัตราดอกเบี้ยลง ทางเราจึงเห็นถึงความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่มี Valuation อยู่ในโซนที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต จะเป็นชนวนเกิด Bubble ในตลาดหุ้น  ดังนั้นจึงแนะนำ Take Profit จากราคาทองคำที่พุ่งขึ้นในระยะสั้น ขณะที่ระยะยาว ทองคำยังคงอยู่ใน Supercycle จึงแนะนำกลับมา Buy on Dip  เพื่อใช้เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากวิกฤตเศรษฐกิจ สัดส่วนการลงทุนที่แนะนำไม่เกิน 10% - 15% ของพอร์ตการลงทุ


 

Weekly Report 18-03-2024

Announcement on 18 March 2024

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง