เชื่อว่าใครหลายคนอาจต้องเคยได้ยินคำว่า "รีไฟแนนซ์" มาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ยังไม่แน่ใจว่าการรีไฟแนนซ์คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน และมีอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ การรีไฟแนนซ์ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีภาระหนี้สินหรือกำลังผ่อนชำระสินเชื่อต่าง ๆ อยู่ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อบัตรเครดิต เพราะวิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้สินใหม่ ให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบันมากขึ้น
วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนไปทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งกันว่า การรีไฟแนนซ์คืออะไร มีกี่ประเภท มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และมีข้อควรพิจารณาใดบ้างในการเลือกรีไฟแนนซ์
รีไฟแนนซ์ หรือ Refinance คืออะไร?
การรีไฟแนนซ์ คือ การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินแห่งใหม่มาปิดหนี้จากสถาบันการเงินเดิม หรือรวมหนี้จากหลาย ๆ แห่งให้กลายเป็นก้อนเดียวกัน เพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงพร้อมปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการชำระหนี้ให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดค่างวดรายเดือนให้น้อยลง ขยายระยะเวลาการผ่อนชำระให้นานขึ้น หรือแม้กระทั่งได้วงเงินกู้เพิ่มเติมในบางกรณี โดยการรีไฟแนนซ์ถือเป็นวิธีปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้สินให้เหมาะสมกับผู้ที่กำลังผ่อนชำระสินเชื่อต่าง ๆ อยู่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผ่อนชำระสามารถบริหารเงินได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างการรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารใหม่
สมมติว่าคุณกู้เงินซื้อบ้านเมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยมีรายละเอียดคือ
- ยอดกู้เริ่มต้น: 3,000,000 บาท
- อัตราดอกเบี้ย: 6% ต่อปี (ดอกเบี้ยคงที่)
- ระยะเวลากู้: 30 ปี (360 เดือน)
- ยอดผ่อนชำระรายเดือน: ประมาณ 18,000 บาท
หลังจากผ่อนชำระมา 5 ปี (60 เดือน) คุณเหลือยอดหนี้ประมาณ 2,700,000 บาท และตอนนี้คุณเห็นว่ามีสถาบันการเงินเสนออัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ต่ำกว่าเดิม คุณจึงตัดสินใจรีไฟแนนซ์บ้านกับสถาบันการเงินใหม่ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- ยอดกู้ใหม่: 2,700,000 บาท (ยอดหนี้คงเหลือ)
- อัตราดอกเบี้ยใหม่: 4% ต่อปี (ดอกเบี้ยคงที่)
- ระยะเวลากู้ใหม่: 25 ปี (300 เดือน)
- ยอดผ่อนชำระรายเดือนใหม่: ประมาณ 14,200 บาท
สรุปผลลัพธ์หลังรีไฟแนนซ์
- ยอดผ่อนชำระรายเดือนลดลง: จากเดิมจ่ายเดือนละ 18,000 บาท เหลือเพียง 14,200 บาท ทำให้คุณมีเงินสดหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเดือนละ 3,800 บาท
- ประหยัดดอกเบี้ยในระยะยาว: อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจาก 6% เหลือ 4% ช่วยให้คุณจ่ายดอกเบี้ยรวมน้อยลงตลอดอายุสัญญา
- ระยะเวลาชำระหนี้: คุณยังคงผ่อนชำระอีก 25 ปี เท่ากับว่าคุณไม่ได้ยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไป
ตัวอย่างการรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารเดิม
สมมติว่าคุณกู้เงินซื้อบ้านเมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยมีรายละเอียดคือ
- ยอดกู้เริ่มต้น: 4,000,000 บาท
- อัตราดอกเบี้ย: 5.75% ต่อปี (ดอกเบี้ยคงที่)
- ระยะเวลากู้: 30 ปี (360 เดือน)
- ยอดผ่อนชำระรายเดือน: ประมาณ 23,300 บาท
หลังจากผ่อนมา 5 ปี (60 เดือน) คุณเหลือยอดหนี้ประมาณ 3,600,000 บาท และธนาคารเดิมเสนออัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ต่ำลง คุณจึงเลือกรีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิมโดยมีเงื่อนไขใหม่ดังนี้
- ยอดกู้ใหม่: 3,600,000 บาท (ยอดหนี้คงเหลือ)
- อัตราดอกเบี้ยใหม่: 4.50% ต่อปี (ดอกเบี้ยคงที่)
- ระยะเวลากู้ใหม่: 25 ปี (300 เดือน)
- ยอดผ่อนชำระรายเดือนใหม่: ประมาณ 20,000 บาท
สรุปผลลัพธ์หลังรีไฟแนนซ์
- ยอดผ่อนชำระลดลง: จากเดิมเดือนละ 23,300 บาท เหลือเพียง 20,000 บาท ทำให้คุณมีเงินสดหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเดือนละ 3,300 บาท
- ประหยัดดอกเบี้ยในระยะยาว: อัตราดอกเบี้ยลดลงจาก 5.75% เหลือ 4.50% ทำให้คุณจ่ายดอกเบี้ยรวมน้อยลง
- สะดวก ไม่ต้องเปลี่ยนธนาคาร: ลดขั้นตอนเอกสารและค่าธรรมเนียมบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นหากเปลี่ยนไปธนาคารใหม่
- ระยะเวลาชำระหนี้: ระยะเวลาผ่อนคงเหลือ 25 ปี ไม่ได้ยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไป
การรีไฟแนนซ์กับธนาคารเดิมเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการลดภาระดอกเบี้ย โดยไม่ต้องเสียเวลาย้ายธนาคารใหม่ อีกทั้งยังอาจได้รับเงื่อนไขพิเศษจากธนาคารเดิมที่คุณเป็นลูกค้าอยู่แล้ว
ประเภทของการรีไฟแนนซ์
ในปัจจุบันการรีไฟแนนซ์มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภทหลัก ๆ คือ
●รีไฟแนนซ์บ้าน
สินเชื่อ
รีไฟแนนซ์บ้าน คือการขอสินเชื่อบ้านจากสถาบันการเงินแห่งใหม่มาปิดหนี้จากสถาบันการเงินเดิม โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้และเงื่อนไขการกู้ยืมให้ดียิ่งขึ้น เช่น ลดภาระดอกเบี้ยในระยะยาว ปรับระยะเวลาการชำระหนี้สิน หรือถอนเงินสดมาใช้จากส่วนต่างของมูลค่าบ้าน (หากมูลค่าบ้านเพิ่มขึ้น คุณสามารถรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อกู้เงินเพิ่มจากส่วนต่างของมูลค่าบ้านมาใช้จ่ายหรือลงทุนได้)
●รีไฟแนนซ์รถ
เช่นเดียวกับข้อก่อนหน้า การรีไฟแนนซ์รถ คือการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินแห่งใหม่ แล้วนำเงินกู้กลับมาปิดหนี้ของสถาบันการเงินเดิม เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้และเงื่อนไขการกู้ยืมให้ดียิ่งขึ้น เช่น ลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง ลดค่างวดรายเดือนให้น้อยลง ปรับระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ให้นานขึ้น หรือขอวงเงินกู้เพิ่มเติมจากมูลค่ารถ
●รีไฟแนนซ์บัตรเครดิต
การรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต คือ การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินแห่งใหม่ที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า แล้วนำเงินกู้ที่ได้กลับมาปิดหนี้บัตรเครดิตจากสถาบันการเงินเดิม ซึ่งมักจะมีดอกเบี้ยสูงกว่ามาก โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้และเงื่อนไขในการกู้ยืมให้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดภาระหนี้สิน ลดโอกาสเป็นหนี้เรื้อรังจากดอกเบี้ยทบต้น และทำให้การผ่อนชำระรายเดือนเป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้น
ข้อดีและข้อเสียของการรีไฟแนนซ์
แม้การรีไฟแนนซ์จะฟังดูเป็นเรื่องดีและมีประโยชน์ในทุกมิติ แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ต้องศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วน ดังนี้
ข้อดีของการรีไฟแนนซ์
- อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง: ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวนและอัตราดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง การรีไฟแนนซ์จะช่วยให้คุณได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่า ช่วยลดภาระค่าดอกเบี้ยในระยะยาว
- ช่วยลดอัตราผ่อนชำระรายเดือน: เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง จำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระรายเดือนก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้คุณมีเงินสดหมุนเวียนมากขึ้น
- เปลี่ยนประเภทสินเชื่อ: สามารถเปลี่ยนประเภทสินเชื่อจากดอกเบี้ยลอยตัวให้เป็นดอกเบี้ยคงที่ (หรือดอกเบี้ยคงที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัว) เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและสถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบันของคุณ
- รวมหนี้จากหลายก้อนให้เป็นก้อนเดียว: การรีไฟแนนซ์สามารถรวมหนี้จากหลาย ๆ แห่งให้กลายเป็นก้อนเดียวกัน ช่วยให้คุณบริหารเงินได้ง่ายขึ้นและอาจลดดอกเบี้ยโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สามารถกู้เงินเพิ่มจากยอดหนี้เดิมได้: ในบางกรณีการรีไฟแนนซ์จะช่วยให้คุณสามารถกู้เงินเพิ่มจากส่วนต่างของมูลค่าทรัพย์สินได้ (ราคาบ้านที่เพิ่มขึ้น) เพื่อนำไปใช้จ่ายหรือลงทุนอื่น ๆ ตามต้องการ
ข้อเสียของการรีไฟแนนซ์
- ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์: การรีไฟแนนซ์มักมีค่าใช้จ่าย เช่น ค่าธรรมเนียมการประเมินทรัพย์สิน, ค่าดำเนินการ หรือค่าปรับชำระหนี้ก่อนกำหนด (สัญญาส่วนใหญ่จะระบุให้รีไฟแนนซ์ได้หลัง 3 ปี หากรีไฟแนนซ์ก่อนกำหนดต้องเสียค่าปรับ 2-3% ของยอดหนี้คงเหลือ) ซึ่งอาจทำให้ไม่คุ้มค่าในบางกรณี
- ระยะเวลาชำระหนี้นานขึ้น: หากรีไฟแนนซ์โดยการยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไป แม้ยอดผ่อนรายเดือนจะลดลง แต่คุณก็อาจจ่ายดอกเบี้ยรวมมากขึ้นในระยะยาว
- ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัว: หากเปลี่ยนเป็นสินเชื่อแบบอัตราดอกเบี้ยลอยตัว อาจมีความเสี่ยงที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับสูงขึ้นในอนาคต
- เงื่อนไขที่ซับซ้อน: บางครั้งเงื่อนไขการรีไฟแนนซ์อาจซับซ้อนหรือมีข้อจำกัดที่ทำให้ไม่คุ้มค่า เช่น การคิดค่าปรับหากชำระหนี้ก่อนกำหนด, ต้องมีประวัติเครดิตที่ดี หรือรายได้มั่นคงเพื่อให้ได้รับการอนุมัติ
- เสี่ยงต่อการเป็นหนี้เพิ่ม: หากไม่มีวินัยทางการเงิน อาจทำให้คุณเป็นหนี้มากขึ้นหรือหมุนเงินไม่ทันใช้ได้ เช่น รีไฟแนนซ์บัตรเครดิตแล้วใช้บัตรเครดิตต่อจนเกิดหนี้ใหม่
ข้อควรพิจารณาในการเลือกรีไฟแนนซ์
การรีไฟแนนซ์ คือการตัดสินใจทางการเงินที่สำคัญ ดังนั้นคุณจึงควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและหลีกเลี่ยงข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น โดยมีข้อควรพิจารณาหลัก ๆ ดังนี้
1.อัตราดอกเบี้ยใหม่
- ตรวจสอบอัตราดอกเบี้ย: ควรตรวจสอบว่าอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่เสนอมาดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเดิมหรือไม่ โดยเฉพาะหากอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และอย่าลืมพิจารณาเลือกประเภทอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสม ระหว่างอัตราดอกเบี้ยคงที่หรือดอกเบี้ยลอยตัว
- ดอกเบี้ยคงที่: เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความแน่นอนในการผ่อนชำระ ข้อดีคือผ่อนชำระเท่ากันทุกเดือน ไม่ได้รับผลกระทบหากอัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น ทำให้วางแผนการเงินได้ง่าย แต่มีข้อเสียคืออัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นอาจสูงกว่าดอกเบี้ยลอยตัว และหากดอกเบี้ยในตลาดลดลงก็ยังคงต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
- ดอกเบี้ยลอยตัว: เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนตามสภาวะตลาด เหมาะสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ คนที่กู้ระยะยาว หรือต้องการโอกาสลดดอกเบี้ยในอนาคต มีข้อดีคือหากดอกเบี้ยในตลาดลดลง อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็จะลดลงตามไปด้วย แต่ก็มีข้อเสียคือดอกเบี้ยอาจเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น ส่งผลให้การผ่อนชำระไม่แน่นอน วางแผนการเงินได้ยุ่งยาก
2.ค่าธรรมเนียม
อย่าลืมพิจารณาค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการรีไฟแนนซ์ เช่น ค่าดำเนินการ, ค่าประเมินทรัพย์สิน, ค่าปรับชำระหนี้ก่อนกำหนด (ถ้ามี) หรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง คุณต้องคำนวณอย่างละเอียดว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้มีความเหมาะสมและคุ้มค่ากับการรีไฟแนนซ์หรือไม่
3.เงื่อนไขของสินเชื่อ
ควรตรวจสอบเงื่อนไขของสินเชื่อรีไฟแนนซ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด จะได้ไม่เสียผลประโยชน์โดยไม่จำเป็น เช่น ตรวจสอบว่ามีค่าปรับหากต้องการชำระหนี้ก่อนกำหนดหรือไม่ มีการจำกัดการโอนหนี้ หรือมีเงื่อนไขเฉพาะของสถาบันการเงินนั้น ๆ อย่างไร
4.ความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงิน
ความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินถือเป็นเรื่องสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้ามหากต้องการจะรีไฟแนนซ์ คุณควรเลือกสถาบันการเงินหรือธนาคารที่น่าเชื่อถือ มีบริการและเงื่อนไขที่ดีที่สุด อาจลองเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายธนาคารเพื่อหาข้อเสนอที่เหมาะสม เนื่องจากแต่ละที่ก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป
จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้เองจึงสามารถสรุปได้ว่า การรีไฟแนนซ์นั้นเหมาะกับคนที่ต้องการปรับปรุงสภาพคล่องทางการเงิน หรือต้องการลดภาระหนี้สินในแต่ละเดือนให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ถ้าคุณต้องการจะรีไฟแนนซ์ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน รถยนต์ หรือบัตรเครดิต คุณก็ควรวางแผนทุกขั้นตอนอย่างรอบคอบ ต้องศึกษาข้อมูล รายละเอียด และเงื่อนไขของการรีไฟแนนซ์ให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะถ้าหากคุณมองข้ามหรือละเลยเรื่องสำคัญบางอย่างไป อาจทำให้คุณเสียผลประโยชน์จนทำให้การรีไฟแนนซ์นั้นได้ไม่คุ้มเสีย
หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังผ่อนบ้านแต่ประสบปัญหาทางการเงิน หมุนเวียนค่าใช้จ่ายไม่ทัน เริ่มชำระหนี้ไม่ไหวแต่ไม่อยากผิดนัดชำระ ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้ให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น LH Bank ขอเสนอสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านแสนคุ้มค่า ให้คุณนำเงินก้อนไปไถ่ถอนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินเดิม พร้อมขอวงเงินเพิ่มสำหรับการต่อเติม ตกแต่ง ซื้อเฟอร์นิเจอร์ หรือสินเชื่ออเนกประสงค์ได้ตามต้องการ ด้วยเงื่อนไขพิเศษที่คัดสรรมาแล้วเพื่อทุกคน
สอบถามรายละเอียดสินเชื่อบ้านเพิ่มเติมได้ที่
ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ทุกสาขา
เว็บไซต์:
www.lhbank.co.th/th/personal/loans/
LH Bank Call Center: 1327
Facebook:
LH Bank
หมายเหตุ:
*หลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศและระเบียบที่ธนาคารกำหนด
**กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว