ลูกค้าบุคคล > LH Bank Advisory > Weekly Report > Wealth Weekly Report 16-12-2024

Wealth Weekly Report 16-12-2024
 

TRUMPIAN NIGHTMARE?
  • LH Bank Advisory มองว่าสาเหตุที่ตลาดให้แนวทางการดำเนินนโยบายของ ECB ในปี 2025 มีความผ่อนคลายกว่าฝั่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หลังจากชัยชนะในการเลือกตั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ และประเด็นภาษีการค้า ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของยูโรโซน โดยสะท้อนไปยังดัชนีความเชื่อมั่นผู้ผลิต ที่อยู่ในทิศทางฟื้นตัวไปเหนือ 50 จุด ให้พลิกกลับลงมา ขณะที่ปัจจัยภายในปัญหาหนี้ยูโรโซน ทำให้รัฐบาลต้องรัดเข็มขัดมากขึ้น ดังนั้น ECB มีโอกาสใช้การปรับลดดอกเบี้ยเร็วและมากกว่า Fed รับมือสภาวะที่เศรษฐกิจยูโรโซนอ่อนแอ ส่งผลต่อตลาดหุ้นยุโรปมีโอกาสฟื้นตัวจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งทางเราแนะนำใช้เป็นจังหวะแบ่งขายทำกำไร
  • ทางเราประเมินว่าเศรษฐกิจจีนกำลังส่งสัญญาณฟื้นตัวจากภาวะเงินฝืด เนื่องด้วยเงินเฟ้อด้านเชื้อเพลิงยานยนต์ที่ชะลอตัวลง จากการหันมาให้พลังงานสะอาดมากขึ้น ในขณะที่เงินเฟ้อจากที่อยู่อาศัยยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ อย่างไรก็ดี ภายหลังการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ส่งผลให้อัตราการขายบ้านใหม่พลิกกลับมาเป็นบวกได้ ซึ่งจากการประชุม Politburo และ CEWC ให้โทนเสียงที่กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นภาคบริโภค เป็นเหตุให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้น มีเสถียรภาพ ทางเราจึงแนะนำให้สะสมหุ้นจีน
  • เมื่อพิจารณาแนวโน้มเศรษฐกิจของเวียดนาม การบริโภคภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง หนุนโดยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น การขยายเวลาลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 10% เหลือ 8% จนถึงเดือนมิถุนายน 2025 และการเร่งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ ประกอบกับ Valuation ที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม การส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอาจชะลอตัวในปี 2025 จากความ
    ผันผวนทางการค้า ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจกดดันให้ค่าเงินดองอ่อนค่าและอาจทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามเข้าสู่วงจรของการพักฐาน ทางเราจึงแนะนำให้รอจังหวะ Buy on dip

TOPIC FOCUS

2025 Europe’s Trumpian nightmare, or not?

ผลการประชุมนโยบายครั้งสุดท้ายของปี 2024 ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม (Main refinancing operations) ครั้งที่สี่ของปีลง 0.25% มาที่ระดับ 3.15% จาก 3.4% ทำให้ ดอกเบี้ยเงินฝาก (Euro Area Deposit Facility Rate) เหลือ 3% จาก 3.25% ขณะเดียวกันนั้นนักลงทุนคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก อีก 5 จุดในปีหน้า ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงเหลือ 1.75% สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 ทั้งนี้ทาง LH Bank Advisory มองว่าสาเหตุที่ตลาดให้แนวทางการดำเนินนโยบายของ ECB มีความผ่อนคลายกว่าฝั่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เกิดขึ้นหลังโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งใหญ่ในปีนี้ ซึ่งมาจากนโยบายของทรัมป์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นและส่งผลต่อยุโรป ดังนี้

  1. Trade war fears : ความกังวลต่อการเก็บภาษีการค้าจะเสี่ยงต่อปริมาณสินค้าส่งออกจากสหภาพยุโรปสู่ตลาดสหรัฐฯ ลดลง แม้ชื่อในประเทศกลุ่มสมาชิกยูโรโซน ยังไม่ปรากฏชื่อแรกที่ทรัมป์เตรียมเก็บภาษีการค้าในวันขึ้นรับตำแหน่งวันแรก แต่ตลาดยังให้ความกังวลต่อประเด็นดังกล่าว ทั้งนี้สินค้าหลักจากยุโรปที่ทรัมป์มีการพุ่งเป้าจัดเก็บภาษีการค้า 10-20% ได้แก่ ภาษีเหล็ก อลูมิเนียม และรถยนต์ โดยเฉพาะ การเก็บภาษีรถยนต์ ซึ่งประมาณการผลกระทบราว 0.5% ของ GDP กลุ่มยูโรโซน ขณะที่เยอรมันอาจเผชิญความเสียมากสุดในกลุ่ม
  2. Europe’s Trumpian nightmare : ในช่วงทรัมป์ 1.0 ทรัมป์พยายามผลักดัน “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ และเดินหน้ากดดันอิหร่านในแทบทุกมิติ ซึ่งความดุเดือดในเวลานั้นส่งผลให้ต้องหลีกเลี่ยงการเดินทางบนทะเลแดง สร้างวิกฤตไปยังเศรษฐกิจยูโรโซนในช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งนี้การขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลกหนึ่งในสามและการค้าระหว่างเอเชียและยุโรปร้อยละ 40 ต้องผ่านทะเลแดง ขณะที่สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังมีความเสี่ยงปัญหาการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียอยู่ ดังนั้นการกลับมาของทรัมป์ในครั้งนี้ หากมีการปฏิบัติการด้านทหารในตะวันออกกลาง เศรษฐกิจยูโรโซนมีโอกาสย่ำแย่กว่าที่คาด

จากปัจจัยความเสี่ยงหลังจากชัยชนะในการเลือกตั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ และประเด็นภาษีการค้า ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของยูโรโซน โดยสะท้อนไปยังดัชนีความเชื่อมั่นผู้ผลิต (PMI) ที่อยู่ในทิศทางฟื้นตัวไปเหนือ 50 จุด ให้พลิกกลับลงมา เป็นเหตุให้ทางเราประเมินต่อว่ามีโอกาสที่เห็นการปรับลดการคาดการณ์ GDP ของยูโรโซน ขณะที่ยังมีความเป็นไปได้ที่ยูโรโซนบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2.% ในปี 2025 ถึง 2027 หากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ไม่ได้ขยายความรุนแรงตามที่เราคาด ในทางเดียวกันปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปที่เพิ่มขึ้นในการใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือราคาพลังงานแก่ประชาชนและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้หลายประเทศก่อหนี้เพิ่มสูงขึ้น อย่าง ฝรั่งเศส ที่ Debt/GDP แตะ 112.2% จนรัฐสภาลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลและนายกต้องออกจากตำแหน่ง หลังเสนอร่างงบประมาณปี 2025 ลดการขาดดุลงบประมาณ ขณะที่เยอรมัน Debt/GDP เกินเพดานที่ 60 มาที่ 61.9 พร้อมมีการเสนอกฎรัฐธรรมนูญที่จำกัดการกู้ยืมของรัฐบาล ด้วยเหตุนี้นโยบายการคลังจากกลุ่มยูโรโซนอาจจะถูกใช้อย่างจำกัดในปีหน้า จนทำให้ ECB มีโอกาสใช้การปรับลดดอกเบี้ยเร็วและมากกว่า Fed รับมือกับทรัมป์สมัยที่ 2 ทำให้ค่าเงินยูโรในปีหน้ามีทิศทางอ่อนค่าลง ส่งผลต่อตลาดหุ้นยุโรปมีโอกาสฟื้นตัวจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่คาดการณ์ไว้ ทางเราแนะนำใช้เป็นจังหวะแบ่งขายทำกำไร ด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวล่าช้ากว่าที่ตลาดเคยประเมินไว้

เศรษฐกิจจีนกำลังส่งสัญญาณฟื้นตัวจาก L-Curve ผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน

จากการประกาศตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นเพียง 0.2%YoY ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2024 และลดลง 0.6%MoM ต่ำกว่าคาด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เพิ่มขึ้น 0.2%YoY โดยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งทางเราประเมินว่าจีนกำลังฟื้นตัวออกจากความเสี่ยงภาวะเงินฝืดด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้

อัตราเงินเฟ้อจากเชื้อเพลงยานยนต์ (Automotive Fuels) ที่หดตัวลง ไม่ได้เป็นแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะยาว โดยในเดือนพ.ย. หดตัวลง 8.1%YoY ซึ่งควรทราบว่าขณะนี้จีนขึ้นแท่นผู้นำด้านพลังงานสะอาด จากนโยบายกระตุ้นการผลิตรถยนต์ EV ส่งผลให้ในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา จีนมีเครื่องชาร์จ EV เพิ่มขึ้น 54%YoY อีกทั้งจีนได้นำเข้าเชื้อเพลิงราคาถูกจากรัสเซีย จึงประเมินว่าราคาเชื้อเพลิงที่ชะลอตัวลงไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญในการกดดันอัตราเงินเฟ้อในอนาคต แต่กลับช่วยหนุนต้นทุนสำหรับบริษัทจดทะเบียน   

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอัตตราเงินเฟ้อจากที่อยู่อาศัย (Housing) เดือน พ.ย. หดตัว 0.1%YoY ที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากยอดขายบ้านใหม่ของจีนเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 7.1%YoY นับเป็นครั้งแรกในรอบ 16 เดือน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากนโยบายของรัฐบาลจีน ที่ลดค่าใช้จ่ายการกู้ยืมสินเชื่อที่อยู่อาศัย และผ่อนปรนข้อจำกัดในการซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ รวมถึงลดข้อกำหนดการชำระเงินดาวน์ลง ส่งผลให้มีการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ซึ่งข้อมูลจาก China Index Academy ราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยใน 100 เมือง เดือน ต.ค. ขยับขึ้น 2.08%YoY เมื่อเทียบกับ 1.85%YoY ในเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตามยอดขายบ้านที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นเพียงผลจากความความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากการผ่อนคลายนโยบาย ทำให้ประชาชนที่มีเงินเก็บเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัย แต่ความต้องการที่แท้จริงอาจไม่ได้ยั่งยืน เนื่องจาก Sentiment ของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด สังเกตุจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยในเดือน ต.ค. ลดลง 160 พันล้านหยวน จาก 500 พันล้านหยวน ในเดือนที่ผ่านมา จึงยังเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตามจากอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ช่วยตอกย้ำด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ จากการประชุม Politburo และ China’s central economic work conference ที่ผ่านมา มีโทนเสียงของการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกมากขึ้น และพร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินในระดับปานกลางในปี 2025 เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นมีเสถียรภาพ สนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อจะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตร รัฐบาลจีน อายุ 10 ปี ลดลงอยู่ที่ระดับ 1.8% ซึ่งต่ำที่สุดในประวัติการณ์ เป็นแรงหนุนช่วยลดต้นทุนเงินทุนของบริษัทจดทะเบียน

ด้วยเหตุนี้ทางเราจึงประเมินว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวจากความเสี่ยงอัตราเงินฝืดได้ และจะสามารถเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แม้ว่าในปี 2024 GDP จีนจะเติบโตไม่ถึงเป้าหมายที่ 5% ก็ตาม ซึ่งตลาดได้ Price in ไปแล้ว ขณะที่การส่งออกของจีนเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 6.7% YoY และเพิ่มขึ้น 8%YoY สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ทางเราจึงเชื่อว่าสงครามการค้าจะช่วยกระตุ้นการส่งออกของจีนในระยะสั้น ประกอบกับทางเราเชื่อมั่นว่าในปี 2025 รัฐบาลจีนจะลงรายละเอียดการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากขึ้น เป็นโอกาสสำหรับการเติบโตของตลาดหุ้นจีน ทางเราจึงแนะนำให้ทยอยสะสม

Year Ahead 2025 : Threats and Opportunities in Vietnam

หลังจากตลาดหุ้นเวียดนามมีการพักฐานในเดือนที่ผ่านมา จากความกังวลแนวนโยบายของทรัมป์โดยเฉพาะสงครามการค้ารอบใหม่ สะท้อนผ่านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตามดัชนี VN Index สามารถกลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้ โดยมีปัจจัยหนุนจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งทาง LH Bank Advisory มีมุมมองต่อทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจของเวียดนามในปี 2025 ดังนี้

  • การเติบโตของกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 3/2024 กลับมาเป็นบวกหลังจากติดลบต่อเนื่อง 4 ไตรมาส สะท้อนว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของเวียดนามได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าจะยังคงมีโมเมนตัมฟื้นตัวต่อเนื่องได้ในปี 2025 โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 อุปทานคอนโดมิเนียมใหม่ในฮานอยมีจำนวนมากกว่า 19,000 ยูนิต ซึ่งสูงกว่าอุปทานทั้งหมดในปี 2023 และถือเป็นอุปทานใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี โดยมีปัจจัยหนุนจากกระบวนการอนุมัติใบอนุญาตโครงการที่รวดเร็วขึ้น และกำลังซื้อที่แข็งแกร่ง จากต้นทุนการกู้ยืมที่เอื้ออำนวยและประชากรที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของเมืองและการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นแรงขับเคลื่อนเชิงโครงสร้าง
  • ภาพรวมเศรษฐกิจเวียดนามยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยจาก Bloomberg consensus คาดการณ์เศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโต 6.6% ในปี 2025 ซึ่ง GDP ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 ขยายตัว 6.82%YoY สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (S&P Global Manufacturing PMI) ของเวียดนามอยู่ที่ระดับ 50.8 ในเดือนพ.ย. ถือเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่มีการขยายตัวของกิจกรรมการผลิต บ่งชี้สัญญาณของการฟื้นตัวจากผลกระทบของพายุไต้ฝุ่นยางิ ซึ่งทำให้เกิดภาวะหดตัวของภาคการผลิตในเดือนก.ย. สอดคล้องกับตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เติบโต 8.9%YoY
  • ทั้งนี้แนวโน้มการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อาจชะลอตัวในปี 2025 จากความเสี่ยงที่เวียดนามอาจตกเป็นเป้าหมายของมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ เนื่องจากในปี 2023 เวียดนามเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับ 4 รองจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา หรือดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ คิดเป็น 20% ของ GDP อย่างไรก็ตามเวียดนามวางแผนซื้อสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น รวมถึงเครื่องบิน ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) อุปกรณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัย และชิป AI เพื่อปรับสมดุลทางการค้ากับสหรัฐ ดังนั้นในทางกลับกันเวียดนามอาจได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศจีน
ทางเราประเมินว่าการบริโภคภายในประเทศยังคงแข็งแกร่ง หนุนโดยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น การขยายเวลาลดภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 10% เหลือ 8% จนถึงเดือนมิถุนายน 2025 และการเร่งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญ ประกอบกับ Valuation ที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม การส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอาจชะลอตัวในปี 2025 จากความผันผวนทางการค้า ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจกดดันให้ค่าเงินดองอ่อนค่าและอาจทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามเข้าสู่วงจรของการพักฐาน ทางเราจึงแนะนำให้รอจังหวะ Buy on dip

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ (Disclaimer) 
  • การลงทุนมีความเสี่ยง “ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน”
  • เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นโดยธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (“ธนาคาร”) ข้อมูลที่ปรากฏในเอกสารนี้นำมาจากแหล่งข้อมูลที่ ธนาคารเห็นว่ามีความน่าเชื่อถือ แต่ไม่อยู่ในวิสัยที่จะสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้โดยอิสระธนาคารไม่สามารถให้การรับประกันความถูกต้องหรือสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าว และอาจรับผิดชอบในความผิดพลาดในการแสดงข้อเท็จจริง หรือข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์รวมทั้งไม่สามารถรับผิดชอบต่อความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลนี้ของผู้หนึ่งผู้ใด ความเห็นที่แสดงในเอกสารนี้ประกอบด้วยความเห็นในปัจจุบันของ ธนาคาร ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
  • ธนาคาร มิได้ให้คำปรึกษาด้านบัญชี ภาษี หรือกฎหมาย โดยผู้ลงทุนควรปรึกษาเรื่องดังกล่าวกับที่ปรึกษา และ/หรือ ผู้ให้คำปรึกษาก่อนการตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลในเอกสารนี้ ผู้ลงทุนควรพิจารณาว่าการลงทุนดังกล่าวมีความเหมาะสมกับตนเอง และควรได้รับคำปรึกษาจากผู้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนที่ได้รับอนุญาต
  • ผลตอบแทนในอดีตมิได้แสดงถึงผลตอบแทนในอนาคต และมูลค่าของเงินลงทุน รวมถึงรายได้จากการลงทุนสามารถลดลงและเพิ่มขึ้นได้ ผลตอบแทนในอนาคตไม่สามารถรับประกันได้ และผู้ลงทุนอาจได้รับเงินคืนน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรง แม้กระทั่งในกรณีที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นประเภทคุ้มครองเงินต้นก็ตาม เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารไม่สามารถชำระหนี้บางส่วนหรือทั้งหมดตามสัญญาได้ ความเห็นที่แสดง ณ ที่นี้ เป็นความเห็นปัจจุบันตามวันที่ระบุในเอกสารนี้เท่านั้น
  • ไม่มีการรับประกันว่ากลยุทธ์การลงทุนนี้จะมีประสิทธิผลภายใต้ภาวะตลาดทุกประเภท และผู้ลงทุนแต่ละท่านควรที่จะประเมินความสามารถของตนในการที่จะลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลง
  • ผู้ลงทุนสามารถทำการศึกษาและขอรับข้อมูลสาระสำคัญของกองทุนรวม รวมถึงนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานย้อนหลังได้จาก ผู้แนะนำการลงทุน ของธนาคาร
  • คำแนะนำข้างต้น มิได้ใช้กับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit Linked Products)

Weekly Report 16-12-2024

ประกาศ ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2567

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง