Trump Homecoming ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 เป็น โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดลงทุนได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า จนเกิดกระแสลงทุน Trump trade มาตั้งแต่เดือนต.ค. ซึ่งทาง LH Bank Advisory ได้ทำการวิเคราะห์ในฉบับสิ้นเดือนก.ค. ทั้งนี้หุ้นและสินทรัพย์ที่อยู่ในกระแส Trump trade ได้แก่ หุ้นการเงิน, หุ้นพลังงาน, หุ้นอุตสาหกรรม และหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ทรัมป์สนับสนุน พร้อมทั้ง หุ้น Small Cap ที่รับประโยชน์อย่างมากจากการลดภาษีนิติบุคคล รวมถึง Cryptocurrencies ที่ทรัมป์แสดงออกในเชิงบวกและนำมาใช้ระดมทุนในแคมเปญหาเสียง สุดท้ายการแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์ ทางเรามองว่า นโยบายของทรัมป์หนุนให้ความเสี่ยงเงินเฟ้อกลับมา แต่ในระยะสั้นตาม Data Dependent บ่งชี้ถึงแนวโน้มการจ้างงานสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลง สนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ย แม้เป็นอัตราที่ลดลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้า และส่งผลให้เงินสกุลดอลลาร์แข็งค่าในกรอบจำกัด ในฉบับนี้ทางเราชวนวิเคราะห์ผลกระทบจากนโยบายการค้าที่สร้างความหวาดหวั่นไปยังทั่วโลก เพราะแผนการเก็บภาษีการค้าขั้นต่ำกับทุกประเทศ 10-20% และกับจีน 60% หรืออาจมากถึง 150% หากจีนส่งทหารเข้าไปในไต้หวัน โดยทางเราชวนนักลงทุนมองย้อนไปในอดีต พบว่า สมัยที่ทรัมป์เป็นปธน.ครั้งที่ 1 เริ่มจัดเก็บภาษีการค้ากับจีนในปี 2018 ที่อัตรา 10-25% กับบางอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น และสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวเมื่อก.ค.2022 จากนั้นปธน.ไบเดน เปลี่ยนรูปแบบสงครามการค้ามาแบบที่มิใช่ภาษี จนสร้างผลกระทบร้ายแรงแก่บริษัทจีนอย่าง Huawei และ TikTok และในปี 2023 ปธน. ไบเดนได้เปิดแผนเตรียมจัดเก็บภาษี 10 อุตสาหกรรมจากจีน ในอัตราที่สูง เช่น รถยนต์ EV จากอัตรา 27.5% เป็น 102.5% ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ชัดว่าทั้งสองพรรคการเมืองมีแผนกีดกันทางการค้ากับจีนไม่ต่างกัน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการค้าจากที่จีนเคยพึ่งพาสหรัฐฯ อยู่มากเริ่มลดลง ด้วยเหตุนี้ความเสี่ยงของแผนจัดเก็บภาษีของทรัมป์สมัยที่ 2 ทางเรามองว่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อจีนและประเทศคู่ค้าอื่นอีกด้วย โดยเฉพาะ ประเทศที่เน้นการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และพึ่งพารายได้ส่งออกจากการค้าสินค้า อย่าง เม็กซิโก และ เวียดนาม เป็นต้น ขณะที่ผลกระทบต่อไทย ทาง LH Bank Advisory ประเมินไว้ดังนี้ 1.รายได้การส่งออกจากการค้า : เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 3 คิดเป็น 10% แต่หากพิจารณาในอดีตไทยได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการเก็บภาษีการค้า เพราะบริษัทนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เลือกนำเข้าสินค้าไทยทดแทนการนำเข้าสินค้าจีนที่เก็บภาษีแพงกว่า ทั้งนี้สินค้าส่งออกไทยที่สำคัญ ได้แก่ ยานยนต์, ชิ้นส่วนรถยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทางเราวิเคราะห์ว่า เป็นสินค้าทุนที่มีอำนาจผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีไปที่ราคาขายสินค้าได้ สอดคล้องกับในอดีตที่ไทยไม่ได้เสียประโยชน์จากสงครามการค้าในยุคทรัมป์สมัยแรก 2.รายได้การส่งออกภาคบริการ : ไทยมีการพึ่งพารายได้จากภาคบริการทั้งในและนอกประเทศ 61% ของ GDP โดยมาจากภาคท่องเที่ยว มากถึง 57% ของรายรับภาคบริการ ดังนั้นมาตรการเก็บภาษีการค้าไม่ใช่ปัจจัยที่สร้างความเสียหายต่อภาคท่องเที่ยว แต่อาจจะส่งผลทางอ้อมให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกที่ชะลอตัว ทำให้รายได้นักท่องเที่ยวลดลง
ด้วยเหตุนี้นโยบายภาษีการค้าของทรัมป์ 2.0 มีผลกระทบต่อไทยอย่างมีนัยสำคัญแต่ความเสียหายอาจอยู่ในวงจำกัด โดยฝั่งการผลิตมีแนวโน้มฟื้นตัวหลังจากสถานภาพการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้ศักยภาพไทยในฐานะการผลิตสินค้าดีขึ้นและมีความพร้อมรับเป็นฐานการผลิตที่กระจายจากจีน อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยยังมีโจทย์ที่ต้องปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อรับมือกับสินค้าจีนราคาถูกที่ไหลเข้ามาในตลาดอยู่ ดังนั้นทางเราประเมินผลกระทบของนโยบายภาษีการค้าที่เกิดขึ้น พบว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากมีโอกาสเติบโตในระยะยาวหลังกลับมาดึงดูดเม็ดเงิน FDI ขณะเดียวกัน Price per book ที่ 1.45 ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี และถูกกว่าหลายประเทศที่เป็น Emerging Market อีกด้วย
US economy is headling for 'no landing'? เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.8%QoQ ในไตรมาส 3/2024 ชะลอลงเล็กน้อยจากระดับ 3.0% ในไตรมาส 2/2024 เนื่องจากการนำเข้าเพิ่มขึ้น 11.2% ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 70% ของ GDP เร่งตัวขึ้น 3.7% บ่งชี้ผู้บริโภคยังคงจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้ตลาดเริ่มมีการพูดถึงสถานการณ์ ‘No Landing’ Scenario ส่วนตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm payrolls) เพิ่มขึ้นเพียง 12,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. จากผลของพายุเฮอริเคนและการประท้วงของพนักงานบริษัทโบอิ้ง ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 113,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตามเป็นผลกระทบจากปัจจัยที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวและเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.25% ในเดือนพ.ย. ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.1% ในเดือนต.ค. ซึ่งอัตราการว่างงานเป็นการสำรวจจากภาคครัวเรือน ขณะที่ Nonfarm payrolls เป็นการสำรวจจากผู้ประกอบการหรือนายจ้าง ส่งผลให้อัตราการว่างงานไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศและการประท้วงหยุดงาน เนื่องจากครัวเรือนยังมีงานทำ แต่ไม่ได้ไปทำงาน อย่างไรก็ตามตัวเลขอัตราการว่างงานและ Nonfarm Payrolls ถือเป็นตัวชี้วัดที่ล่าช้า (Lagging indicators) เนื่องจากข้อมูลที่ใช้เป็นข้อมูลในอดีต ขณะที่ตัวเลข ISM Employment Index เป็นตัวชี้วัดนำ (Leading indicators) ซึ่งเป็นข้อมูลคาดการณ์ในอนาคต โดย ISM Manufacturing Employment ในเดือนต.ค. อยู่ที่ระดับ 44.4 สะท้อนการจ้างงานภาคการผลิตอยู่ในโซนหดตัว ส่วน ISM Services Employment ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 53.0 จากระดับ 48.1 ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนการฟื้นตัวของการจ้างงานภาคบริการ
นอกจากนี้ อัตราการลาออกโดยสมัครใจ (Quits rate) มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 1.9% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2020 โดยลดลงจากระดับสูงสุดที่ 3% ในเดือนเม.ย. 2022 ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ (JOLTs) ที่ลดลง 418,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.443 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ย. โดยสัดส่วนตำแหน่งงานว่างต่อคนว่างงานในสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 1.09 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าก่อน Covid-19 ในปี 2019 บ่งชี้ตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแอ อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณา Credit Spread ระหว่างหุ้นกู้อันดับเครดิต BBB กับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในปัจจุบันอยู่ที่ 1.07% มีแนวโน้มแคบลง เป็นสัญญาณของความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นและมีความกังวลน้อยลงเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ขององค์กร ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าในระยะสั้น ตลาดหุ้นจะได้รับ Sentiment เชิงบวก หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมาตรการลดภาษีนิติบุคคลของทรัมป์จะช่วยกระตุ้นการจ้างงานและการปรับค่าแรงขึ้นในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจช่วงสมัย Trump 1.0 กำลังฟื้นตัวและเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ แตกต่างจากสมัย Trump 2.0 ที่อยู่ในวัฏจักรตอนปลาย (Late cycle) อีกทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) ยังคงอยู่ในระดับสูง สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับการ ขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น และมาตรการกีดกันทางการค้าจะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.4% แนะนำเป็นจุดเข้าซื้อกองทุนตราสารหนี้และกองทุนรวมผสม โดยแนะนำกองทุนเปิดเค โกลบอล อินคัม-A (K-GINCOME-A(A)) เป็นกองทุนรวมผสมระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลก เพื่อรับโอกาสการเติบโตในระยะยาว
ประกาศ ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2567