5% Challenging numbers
รัฐบาลนายกเศรษฐาได้ประกาศเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย ที่ระดับ 5% ต่อปี ตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ท้าทาย เมื่อเทียบกับอดีตในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ที่มีเติบโตของ GDP เฉลี่ยเพียงที่ 3.7% ต่อปี ทั้งนี้รัฐบาลฯ จัดทำงบประมาณปีพ.ศ. 2567 เป็นนโยบายการคลังแบบขาดดุล เป็นเหตุให้ทางสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (PDMO) จัดเตรียมแผนกู้เงินประมาณ 2.43 ล้านล้านบาท เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้ เพื่อรองรับมาตรการที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลฯ ดังนั้นตลาดจึงคาดการณ์ถึงปริมาณของพันธบัตรรัฐบาลไทย (Bond Supply) ที่ออกขายถือเป็นจำนวนมากที่สุดในรอบ 3 ปี ตั้งแต่ช่วงที่เกิดโควิดที่มีการออก พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉินเสียอีก จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่กดดันตลาดลงทุนไทยให้เผชิญกับแรงขายของเงินทุนต่างประเทศ (Fund Flow) จนทำให้อัตราแลกเปลี่ยนไทยอ่อนค่าถึงระดับ 37 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ PDMO มีแผนปรับโครงสร้างจากการพึ่งพาพันธบัตรระยะยาวมาเป็นระยะสั้นมากขึ้น เพื่อบรรเทาความกังวลของนักลงทุนต่อการปรับขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว หากมีปริมาณอุปทานออกมามาก ขณะที่อุปสงค์ของพันธบัตรไทยลดลง อันเนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวไทยไม่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ และต่างประเทศ ดังนั้นด้วยปัจจัยข้างต้นนี้ LH Bank Advisory ประเมินว่ามีโอกาสที่พันธบัตรไทยจะเข้าสู่ Bear Flattening Yield Curve หรือผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าพันธบัตรระยะยาว จึงส่งผลต่อการดึงสภาพคล่องออกจากระบบ กดดันตลาดหุ้นไทยและส่งผลถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากภาคการบริโภคที่ลดลง แต่หากเราพิจารณาในภาพกว้าง พบว่า สถานการณ์ดังกล่าวสร้างอานิสงส์แก่ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นสามารถดึงดูดเงินลงทุนทั้งในและต่างประเทศไม่ให้ไหลออกจากสินทรัพย์สกุลบาทได้ สำหรับกลยุทธ์ตลาดการลงทุนไทย ทางเราแนะนำ ดังนี้
Is the oil ‘Supercycle’ still on? ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 30% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา หลังรัสเซียและซาอุดีอาระเบียขยายเวลาการปรับลดอุปทานน้ำมันจนถึงสิ้นปีนี้ ส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกเผชิญภาวะตึงตัว และทำให้ตลาดกังวลว่าเงินเฟ้อจะกลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง ซึ่งทาง JPMorgan คาดว่าราคาน้ำมันดิบ Brent จะเคลื่อนไหวในกรอบ US$90-100 ในปี 2024 และ US$100-120 ในปี 2025 และมีโอกาสขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ US$150/bbl ภายในปี 2026 ซึ่งทาง LH Bank Advisory ประเมินแนวโน้มของราคาน้ำมันและผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ดังนี้
ประกาศ ณ วันที่ 09 ตุลาคม 2566