Sticky inflation amid consumers’ sentiment slips ดัชนีเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ เดือน พ.ค. 24 เพิ่มขึ้นเพียง 3.3%YoY ซึ่งชะลอตัวลง 2 เดือนติดต่อกัน และดัชนีเงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐฯ เดือน พ.ค. 24 เพิ่มขึ้น 3.4%YoY ซึ่งชะลอตัวลง 21 เดือนติดต่อกัน แต่ยังอยู่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของ Fed ที่ 2% YoY โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่ม Shelter ที่ยังคงขยายตัว 5.39%YoY และมีสัดส่วนในตะกร้าคำนวณเงินเฟ้อถึง 35% ของทั้งหมด ซึ่งเมื่อพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวม Shelter เพิ่มขึ้นเพียง 2.1%YoY บ่งชี้ว่ากลุ่ม Shelter ยังเป็นกลุ่มหลักที่ดันเงินเฟ้อสหรัฐฯ ทางเราจึงพิจารณาว่าอัตราเงินเฟ้อในกลุ่ม Shelter จะอยู่ในระดับสูงต่อไปด้วยปัจจัยต่อไปนี้
อย่างไรก็ตามจากอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 4% เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัวลง ส่งผลให้ Retail Sale เดือน พ.ค. เพิ่มขึ้น 0.1%MoM สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มอ่อนแอ จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภครัฐมิชิแกน เดือน มิ.ย. ลดลงอยู่ในระดับ 65.6 จาก 69.1 จึงประเมินว่าค่าเช่าบ้านจะหนุนให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกันกำลังการบริโภคเริ่มอ่อนแอ สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว จึงแนะนำให้ลดสัดส่วนหุ้นสหรัฐฯ
Unwinnable game in EV war หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน 4 เท่าจาก 25% เป็น 100% รวมถึงแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ขึ้นภาษีจากเดิม 7.5% เป็น 25% ล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน เป็นอัตราส่วนเพิ่มจากภาษีอัตราเดิม 10% ในปัจจุบัน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 ก.ค. 2024 โดยอัตราส่วนเพิ่มจะแตกต่างกันไปตามบริษัท ขึ้นกับความร่วมมือในการสอบสวนการจ่ายเงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลจีนของแต่ละบริษัท : 17.4% สำหรับ BYD, 20% สำหรับ Geely ซึ่งถือหุ้นใน Volvo, 38.1% สำหรับ SAIC Motor เจ้าของแบรนด์ MG และ 21% สำหรับผู้ผลิตรายอื่น ซึ่งทาง LH Bank Advisory ประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีดังกล่าว ดังนี้
ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่ามาตรการการขึ้นภาษีนำเข้าดังกล่าว ส่งผลกระทบที่จำกัดต่อ GDP ของจีน เนื่องจากการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนในยุโรปมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับผลกระทบต่อรถยนต์แบรนด์ยุโรปที่ส่งออกไปจีน หากจีนใช้มาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ และการตอบโต้อาจมุ่งเป้าไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้การส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า, แบตตารี่ และโซล่าร์เซล มีสัดส่วนคิดเป็น 4.2% ของการส่งออกทั้งหมดของจีน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมาตรการดังกล่าวเร่งให้บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนย้ายฐานการผลิตไปยุโรปมากขึ้นและจีนยังคงมีโอกาสขยายการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าไปยังตลาดใหม่ ๆ อีกมาก
Is it time to take some US gains and rebalance into the Asia EM? (Part I) LH Bank Advisory เกิดคำถามถึงโอกาสลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ (EM) ว่ามีความน่าสนใจหรือยัง หลังจากช่วงการกลับมาเปิดประเทศในปี 2020 จนถึงปัจจุบัน S&P 500 สร้างผลตอบแทนเหนือกว่า MSCI EM Asia มากกว่า 120 เท่า และยังคงทำ New high ต่อเนื่องจนมีมูลค่าตลาดเข้าสู่โซนแพง สวนทางกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ทางเราเริ่มมองหาการลงทุนMSCI EM Asia เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในช่วงถัดจากนี้ข้างหน้า ซึ่งทางเรามองเห็นโอกาสที่ MSCI EM Asia ให้ผลตอบแทนโดดเด่นกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ คล้ายช่วงปี 2002-2007 ซึ่งเป็นช่วงที่ MSCI EM Asia สร้างผลตอบแทนเหนือตลาดหุ้นสหรัฐฯ กว่า 280 เท่า เช่นกัน โดยมีเหตุผลดังนี้ เหตุผลแรก : ทางเรามองเป็นเรื่องปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม MSCI EM Asia ที่เน้นการลงทุนในประเทศอินเดีย เกาหลีใต้ และไต้หวัน ซึ่งเป็นตลาดที่มีการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการส่งออกที่ขยายตัว ผลักให้ประมาณการ GDP ของ EM Asia ปี 2024 ที่ 5.2% กับปี 2025 ที่ 4.9% อันเป็นผลมาจากการลดความเสี่ยงในการพึ่งพาจีนประเทศเดียว (De-risk) และในเวลานี้ยังมีมาตรการกีดกันทางการค้า อย่างเก็บภาษีนำเข้าสินค้ามาจากจีนสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งจากสหรัฐฯ และยุโรป โดยเฉพาะ สินค้าเทคโนโลยี เซมิคอนดักเตอร์ และ รถยนต์ EV ที่ผลลัพธ์จากมาตรการดังกล่าวในทางเศรษฐศาสตร์จะส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าปรับสูงขึ้นเพราะบริษัทสูญเสียการผลิตที่มีต้นทุนต่ำไป แต่ด้วยมาตรการนี้มุ่งหวังผลทางการเมือง เพราะผลต่อคะแนนนิยมผู้สมัครให้โดดเด่นขึ้นมา จึงทำให้ไม่ว่าผลเลือกตั้งใครเป็นประธานาธิบดีย่อมเห็นสงครามการค้ากับจีนที่ยืดเยื้อ ขณะเดียวกันทั้งสหรัฐฯ และยุโรปเป็นประเทศที่มีการนำเข้าสินค้าเพื่อการบริโภคอันดับต้นของโลก จึงเป็นเหตุให้บรรดาบริษัทฯ ยังเน้นกระจายฐานผลิตสินค้าออกจากจีน ไปตั้งฐานการผลิตใน EM Asia ที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าเช่นกัน เหตุผลที่สอง : จากสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ระดับ Peak rate เตรียมรอเข้าสู่ช่วงขาลง เพราะหลังจากเศรษฐกิจในภาวะ Stagflation ทำให้เราได้เห็นการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา กำลังมีแนวโน้มจะเปลี่ยนทิศทาง โดยทางเราประเมินจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ และแนวโน้มอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น ได้ผลักให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย และ Fed ต้องใช้มาตรการผ่อนคลายการเงิน รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามมา จนเป็นเหตุให้ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสเข้าสู่ช่วงอ่อนค่า พร้อมกับส่งผลให้ค่าเงินในกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีเสถียรภาพมากขึ้น และเอื้อให้เงินทุนไหลกลับเข้าสินทรัพย์ของประเทศที่มีผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในระดับสูงมีการจัดการหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมให้อยู่ในระดับต่ำ โดยรายงาน IMF ปี 2022 พบว่า อินเดีย มีมูลค่าหนี้คิดเป็น 83% ของ GDP และมีทิศทางที่กำลังปรับลดลงจากนโยบายของรัฐบาลโมดี สมัยที่ 3 ที่ปรับลดการขาดดุลการคลัง ขณะที่ในภาพรวมหนี้ต่อ GDP ของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ต่ำกว่าหนี้ของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ดังนั้นปัจจัยพื้นฐานของ MSCI EM Asia ที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มการมีเสถียรภาพค่าเงินสกุลท้องถิ่นของตลาดเกิดใหม่ ทำให้การลงทุนในตลาดเกิดใหม่มีความน่าสนใจแล้วนั้น หากพิจารณาด้านมูลค่า P/E ยังพบว่าหุ้นในตลาดเกิดใหม่มีมูลค่าอยู่ในระดับน่าสนใจกว่า ทางเราจึงแนะนำแบ่งขายทำกำไรจากการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ทยอยเข้าสะสมหุ้นใน MSCI EM Asia เมื่อพักฐาน
Announcement on 24 June 2024