TOPIC FOCUS
After US CPI Exceeds Expectations - Stay invested?
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง หลังสหรัฐฯ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด ส่งผลให้ Bond Yield พุ่งขึ้น เนื่องจากตลาดกังวลว่าเฟดอาจจะไม่ปรับลดดอกเบี้ยในเดือนพ.ค. ตามที่คาดไว้ หลังจากที่ ดัชนี S&P 500 เพิ่งปิดเหนือระดับ 5,000 จุดเป็นครั้งแรก จากแรงหนุนหุ้นกลุ่ม Mega cap ทาง LH Bank Advisory ได้ประเมินมุมมองต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดังนี้
ทาง LH Bank Advisory ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตัวเลขดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในเดือนม.ค. คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3%MoM และค่าเฉลี่ย 3 เดือน (3-month annualized rate) เข้าใกล้เป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ดังนั้นทางเรามองเป็นจังหวะในการเข้าทยอยสะสม โดยกองทุนที่เราแนะนำคือ กองทุนเปิด แอล เอช ยูเอส อิควิตี้ (LHUS) ซึ่งเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 19 – 27 ก.พ. นี้ ซึ่งเป็นกองทุนที่มีลักษณะเป็น Fund of Funds ที่มีนโยบายลงทุนใน Baillie Gifford US Growth Fund และ Artificial Intelligence & Technology ETF (AIQ) เป็นกองทุนที่รวมธีมการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Growth ในสหรัฐฯ และลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของธุรกิจ AI
Cautiously Optimistic ลงทุนต่อไป ในความไม่ประมาท
บรรยากาศการลงทุนยังคงสดใสซึ่งนำทีมมาด้วยกลุ่ม Magnificent 7 ผลักให้ S&P 500 ปิดเหนือ 5,000 จุด และพาMomentum ตลาดหุ้นของประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (DM) ทยอยปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) ด้วยกระแสของเทคโนโลยี AI ทั้งนี้ทาง Bloomberg ประมาณการเติบโตรายได้ล่วงหน้าของกลุ่ม Magnificent 7 จะเติบโตในอีก 2 ปีข้างหน้าเฉลี่ยปีละ 10% ขณะเดียวกันความพยายามปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นแม้มีปัจจัยกดดันจากการเลื่อนปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯออกไปล่าช้ากว่าที่เคยคาดหวังนั้น ถือเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าตลาดในเวลานี้ให้น้ำหนักมุมมองในเชิงบวก (Optimistic) สะท้อนไปที่มูลค่า P/E ของตลาดปัจจุบันในแต่ละประเทศปรับตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ย 20 ปี
ทั้งนี้ทาง LH Bank Advisory แนะนำนักลงทุนที่ต้องการจับจังหวะตามจาก Momentum ที่สดใสนี้ ด้วยมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวัง หรือ Cautiously Optimistic โดยนักลงทุนต้องคำนึงถึงอารมณ์ของตลาดที่กำลังทำ All Time High หากเผชิญกับความผิดหวัง หรือข่าวร้ายจะสร้างความเสี่ยงให้เกิดแรงขายที่รุนแรงได้ฉับพลัน ทั้งนี้หากพิจารณาที่ Earning Yield กับผลตอบแทนพันธบัตร สหรัฐฯ10 ปี จะพบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) มีค่า Earning yield Gap ติดลบ 0.02 ซึ่งสะท้อนว่ามูลค่าตลาดมีความแพง เพราะหมายถึง Earning Yield ของตลาดหุ้นอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับดอกเบี้ย ขณะที่ตลาดในภูมิภาคอื่นยังมีความน่าสนใจ ดังนั้นการเลือกกลยุทธ์กระจายพอร์ตการลงทุนไปสินทรัพย์ทุนทั่วโลก แบบ Aggressive Allocation ถือเป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์กับสถานการณ์ดังกล่าว
กองทุนแนะนำ กองทุนเปิดวรรณ อัลตร้า อินคัม พลัส ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล (ONE-ULTRAPLUS) ซึ่งใช้ไอเดียการลงทุนจากเงินก้อนเดียวลงทุนได้ทั้งชีวิต สุขภาพ และความมั่งคั่ง กองทุนนี้ถือเป็นนวัตกรรมการเงินให้นักลงทุนได้ลงทุนผ่านกลยุทธ์กองทุนแบบ Aggressive Allocation ที่กระจายการลงทุนทั่วโลก แบ่งเป็น หุ้นต่างประเทศ 60% หุ้นไทย 10% ตราสารหนี้ไทย 20% และสินทรัพย์ทางเลือก 10% และผู้ถือหน่วยลงทุนตั้งแต่ 4,500 หน่วยขึ้นไป ได้รับความคุ้มครองประกันสุขภาพและชีวิตกับทางบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ทำให้ในกรณีที่ราคาหน่วยลงทุนปรับตัวลงก็ไม่ส่งผลต่อความคุ้มครองตามกรมธรรม์*
ทั้งนี้ในพอร์ตการลงทุน ONE-ULTRAPLUS สัดส่วนมากสุด 22% อยู่ในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่มีขนาดใหญ่ อย่าง Magnificent 7 และ ETF ของตลาดหุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลก เพื่อสร้างผลตอบแทนคาดหวังจากส่วนต่างราคา ตามจังหวะตลาดที่กำลัง Optimistic ในเวลานี้ ขณะที่จุดเด่นของการจัดพอร์ต Asset Allocation คือมีสัดส่วนลงทุนในสินทรัพย์การลงทุนอื่น เพื่อพร้อมรับมือความผันผวนของผลตอบแทน และลดความเสี่ยงตลาดขาลง (Downside) ผ่านการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทย และสินทรัพย์ทางเลือก อย่าง ทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนในยามเศรษฐกิจถดถอย (Recession Proof) ขณะที่ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์กับความเสี่ยงที่กดดันเศรษฐกิจโลกในปีนี้ เช่น ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความเสี่ยงเงินเฟ้อในระดับสูง และวิกฤตเศรษฐกิจ
Bear Market Rally in China Stocks
จากการจัดระเบียบสังคมจีนครั้งใหญ่ ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ส่งผลให้เกิดแรงกดดันในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นเหตุให้นักลงทุนกังวลว่าความเสี่ยงจะขยายตัวเป็นวงกว้าง ดังนั้นนักลงทุนจึงย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ เศรษฐกิจจีนจึงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด โดยตลาดหุ้นจีน (MSCI China) ปรับตัวลงกว่า 60% ตั้งแต่ปี 2021 ราคาเทียบเท่ากับเมื่อปี 2013 ในขณะที่ Forward PE อยู่ในระดับ 9.7 เท่า ถูกกว่าค่าเฉลี่ยที่ 12.1 เท่า อย่างไรก็ตามในขณะนี้พบสัญญาณฟื้นตัวของหุ้นจีนดังนี้
อย่างไรก็ตามจากตัวเลขราคาบ้านของจีนปรับตัวลง 0.4%MoM ในเดือนธ.ค. อีกทั้งยอดขายบ้านใหม่ลดลง 1%YoY ในเดือน ธ.ค. 23 สะท้อนว่ายังไม่พบสัญญาณฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ดังนั้นเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับจะมีตราสารหนี้ High Yield ที่จะครบกำหนดในปี 2024 – 2025 ประมาณ 37 พันล้านดอลลาร์
Announcement on 19 February 2024