Personal > LH Bank Advisory > Weekly Report > Wealth Weekly Report 09-12-2024

Wealth Weekly Report 09-12-2024
 

NEW WAY TO DIVERSIFY
  • LH Bank Advisory มองว่าการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนประเภท Investment Grade (IG Bond) เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์กับการลงทุนในกลุ่มอื่น ๆ มีความน่าสนใจ พร้อมแนะนำสามารถกระจายการลงทุน 20-30% ของพอร์ต เพราะมูลค่าตลาดหุ้นที่เวลานี้ค่อนข้างแพงจนผลตอบแทนเทียบความเสี่ยง (Earning yield gap) ติดลบและต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี สวนทางกับมูลค่าของตราสารหนี้เอกชนที่ให้ผลตอบแทนจูงใจกว่า โดยบ่งชี้จากส่วนต่างของผลตอบแทนตราสารหนี้เทียบกับหุ้น อยู่ในแนวโน้มปรับตัวขึ้นและสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีอีกด้วย
  • หุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์ภายใต้การบริหารประเทศของพรรครีพับลิกัน เนื่องจากจุดยืนของพรรครีพับลิกันที่สนับสนุนการปรับลดกฎระเบียบ (Deregulation) อย่างไรก็ตาม ทางเราประเมินว่าแนวโน้มในการทำกำไรของกลุ่มธนาคารยังไม่ได้รับการปรับประมาณการขึ้น และในแง่ Valuation ถือว่าอยู่ในระดับที่แพงมาก โดยดัชนี S&P 500 Financials Sector Index เทรดอยู่ที่ Forward P/E 18.9 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 14.3 หรือมากกว่า +2SD และเริ่มพักฐานหลังจากปรับตัวขึ้นแรง จึงแนะนำรอจังหวะ Buy on dip ในกองทุนเปิด แอล เอช ยูเอส ไฟแนนเชียล (LHUSFIN-A) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มบริการทางการเงินของสหรัฐฯ
  • ทางเราประเมินว่าปัจจัยภายนอกประเทศจีน จะส่งผลต่อเศรษฐกิจจีนค่อนข้างจำกัด ทั้งจากการควบคุมการส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์ และการขึ้นกำแพงภาษีของทรัมป์ เนื่องจากเป็นนโยบายที่ตลาดรับรู้ไปแล้ว จึงส่งผลให้เกิดการเพิ่มสินค้าคงคลังมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเริ่มส่งผลให้ PMI ภาคการผลิตฟื้นตัว มาอยู่ในโซนขยายตัวในที่สุด โดยได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง Bloomberg คาดการณ์ผลประกอบการบริษัทของจีน เพิ่มขึ้นกว่า 50% ใน 3Q25 จึงแนะนำให้สะสมหุ้นจีน 

TOPIC FOCUS

2025 IG-Bond A good anchor in stormy times

ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ออกโรงเตือนถึงสภาวะเงินเฟ้อที่ดื้อดึงเหนือเป้าหมาย จนทำให้การตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยยังคงต้องระมัดระวัง (No Rush) ทาง LH Bank Advisory พบว่าผลตอบแทนของพันธบัตรและตราสารหนี้ของภาคเอกชน ได้เร่งตัวขึ้นจากความกังวลใจประเด็น No Rush จน  Bond Yield 10 ปี แตะ 4.43% (15 พ.ย.) แล้วพลิกตัวลดลงต่อเนื่องด้วยกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าจน Bond Yield 10 ปี แตะระดับต่ำ 4.16 (29 พ.ย.) สะท้อนถึงมุมมองที่ตลาดให้ Bond Yield 10 ปี ในระดับใกล้ 4.5% เป็น Fair Price ที่น่าสนใจ เฉกเช่นเดียวกับเงินลงทุนไหลเข้าตราสารหนี้ของภาคเอกชน

ทั้งนี้ทางเรามีมุมมองถึงโอกาสการลงทุนตราสารหนี้ภาคเอกชน ระดับ Investment grade ในปี 2025 ไว้ดังนี้

1.Shape of the yield curve : Yield curve เคลื่อนตัวคล้ายเป็นขนานกับเส้นเดิม เมื่อ short-term yields ปรับตัวลงแรงมากกว่า long-term yields ทั้งนี้การปรับตัวลงของ Yield หมายถึงราคาที่สูงขึ้น บ่งชี้ว่า short-term yields ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นกว่า ขณะที่รูปแบบการเคลื่อนตัวของเส้นผลตอบแทนดังกล่าวก็เกิดขึ้นใน IG Bond เช่นกัน ทางเรามองว่ากระแสเงินไหลเข้าตราสารหนี้บ่งชี้ถึงตลาดยังคงมองว่าเข้าสู่วัฏจักรลดดอกเบี้ย แต่ยังมีความกังวลประเด็นเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงทำให้กระแสเงินเข้า short-term yields ที่ความเสี่ยงต่ำ

2.Long-Dated Spread Historically Tight : ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจส่วนต่างทั้ง short-term กับ long-term ของตราสารหนี้ภาคเอกชนจะปรับสูงขึ้น เพื่อบ่งชี้ว่านักลงทุนต้องการผลตอบแทนเพิ่มขึ้นสำหรับความเสี่ยงที่มากขึ้น ซึ่งในเวลานี้ตลาดตราสารหนี้สะท้อนภาพที่แข็งแกร่งหลังส่วนต่าง OAS ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อยู่ในระดับสูง

3.Market Sentiment : สภาวะเศรษฐกิจตอนนี้อยู่ในช่วงที่ดอกเบี้ยมีโอกาสปรับลดลง ขณะที่นโยบายของทรัมป์ 2.0 ที่เตรียมลดอัตราภาษีนิติบุคคล เป็นนโยบายส่งผลให้กำไรบริษัทจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้น ทำให้งบการเงินมีแนวโน้มที่ยังคงแข็งแกร่งยังสามารถรับภาระดอกเบี้ยจ่ายได้ และเมื่อเทียบมูลค่าตลาดหุ้นที่เวลานี้ค่อนข้างแพงจนผลตอบแทนเทียบความเสี่ยง (Earning yield gap) ติดลบและต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ยิ่งสวนทางกับมูลค่าของตราสารหนี้เอกชนที่ให้ผลตอบแทนจูงใจกว่า โดยบ่งชี้จากส่วนต่างของผลตอบแทน
ตราสารหนี้เทียบกับหุ้น ยังอยู่ในแนวโน้มปรับตัวขึ้นและสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีอีกด้วย

ดังนั้นด้วยปัจจัยดังกล่าวทางเรามองว่าการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนเมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์กับการลงทุนในกลุ่มอื่น ๆ จึงมีความน่าสนใจ และแนะนำสามารถกระจายการลงทุน 20-30%ของพอร์ต เพราะในปี 2025 ปัจจัยมหภาคที่ทั่วโลกกำลังเข้าสู่ช่วงการเติบโตของ GDP เข้าสู่ระดับปกติ ไม่ได้สูงเท่าช่วงหลังวิกฤตโควิด และการกลับมาของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เตรียมนโยบายของทรัมป์ 2.0 สร้างความท้าทายแก่การเติบโตฝั่งรายได้ของบริษัทจดทะเบียน จึงมีโอกาสสูงที่จะเห็นเหล่าธนาคารกลางใช้การปรับลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังมีดอกเบี้ยหลายประเทศปรับขึ้นมาในระดับสูง บ่งชี้โอกาสที่ Bond Yield ทั่วโลกจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว จนเป็นเหตุให้เงินทุนเกิดการสับเปลี่ยนจากสินทรัพย์เสี่ยงและแพง เข้าสู่ตราสารหนี้ที่มีความผันผวนต่ำ ประเภท Investment Grade มากขึ้น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและมูลค่าสินทรัพย์อยู่ในระดับที่เหมาะสมอีกด้วย

How Trump’s Policies Affect Financial Sector​

หุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์ภายใต้การบริหารประเทศของพรรครีพับลิกัน เนื่องจากจุดยืนของพรรครีพับลิกันที่สนับสนุนการปรับลดกฎระเบียบ (Deregulation) และการลดการกำกับดูแลของสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงิน (CFPB) จะส่งผลดีต่อธุรกิจการเงิน
ทาง LH Bank Advisory ประเมินผลกระทบของนโยบายทรัมป์ต่อทิศทางของหุ้นกลุ่มการเงินไว้ดังนี้

• หน่วยงานกำกับของสหรัฐฯ ได้เสนอแก้ไข Basel III Endgame เพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านเครดิต หลังเกิดวิกฤตธนาคารล้มในปี 2023 ซึ่งเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มธนาคาร เนื่องจากจะทำให้การปล่อยสินเชื่อลดลงและส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ โดยข้อเสนอใหม่ในวันที่ 10 กันยายน 2024 ได้กำหนดความต้องการเงินทุน (Capital Requirement) เพิ่มขึ้น 9% สำหรับธนาคารที่มีสินทรัพย์มากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามภายใต้การนำของทรัมป์ ธนาคารมีแนวโน้มที่จะมีข้อจำกัดด้านเงินทุนน้อยลงและสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ทั้งนี้การผิดนัดชำระหนี้ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์พาณิชย์ (Commercial Real Estate)  จากการปล่อยสินเชื่อของกลุ่มธนาคารท้องถิ่นและธนาคารกลางเล็ก ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในปีนี้และอาจกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งจากการเปิดรับความเสี่ยงของธนาคาร

• นโยบายบริหารภายใต้การนำของโจ ไบเดน มีจุดยืนต่อต้านการผูกขาดอย่างเข้มงวด เพื่อยับยั้งการควบรวมกิจการ (M&A)  ส่งผลให้ปริมาณการควบรวมกิจการลดลงเหลือ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 20% เนื่องจากมีกฎระเบียบที่เข้มงวด ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ มีแนวโน้มผ่อนปรนกฎระเบียบหนุนการควบรวมกิจการธนาคารต่างๆ ในสหรัฐฯ ซึ่งมีสถาบันการเงินมากกว่า 4,600 แห่ง โดยการควบรวมกิจการจะช่วยให้ธนาคารขนาดเล็กสามารถแข่งขันกับธนาคารขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

• ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง และนโยบายของทรัมป์จะหนุนการบริโภคภายในประเทศ อีกทั้งการเสนอชื่อ Scott Bessent ขึ้นเป็นรมว.คลังใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งมีนโยบายหนุนการขึ้นภาษีศุลกากร-ยกเลิกกฎระเบียบอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ประกอบกับแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ตลาดคาด จากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ส่งผลให้การลดลงของส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของธนาคารชะลอลง เป็นปัจจัยหนุนกำไรของหุ้นกลุ่มธนาคาร

อย่างไรก็ตาม ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าแนวโน้มในการทำกำไรของกลุ่มธนาคารยังไม่ได้รับการปรับประมาณการขึ้น และในแง่ Valuation ถือว่าอยู่ในระดับที่แพงมาก โดยดัชนี S&P 500 Financials Sector Index เทรดอยู่ที่ Forward P/E 18.9 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 14.3 หรือมากกว่า +2SD และเริ่มพักฐานหลังจากปรับตัวขึ้นแรง จึงแนะนำรอจังหวะ Buy on dip ในกองทุนเปิด แอล เอช ยูเอส ไฟแนนเชียล (LHUSFIN-A) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มบริการทางการเงินของสหรัฐฯ

เศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัว และพยายามต่อสู้กับแรงกดดันจากสงครามการค้า​

จีนตกเป็นเป้าหมายของการกีดกันการค้านอกจากสหรัฐฯ ยังมียุโรป, แคนนาดา, และญี่ปุ่น โดยพยายามปกป้องอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศของตน อย่างไรก็ดีผลประกอบการบริษัทในจีนกลับมาเติบโตอีกครั้งใน 3Q24 โดยกำไรเติบโตขึ้น 13.5%YoY อีกทั้ง Bloomberg คาดการณ์ 3Q25 ผลประกอบการเพิ่มขึ้น 51.3%YoY ซึ่งทางเราประเมินว่าปัจจัยภายนอกจะส่งผลต่อเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด และในปี 2025 เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มจะฟื้นตัว

ไบเดนทิ้งระเบิดลูกสุดท้ายสำหรับการปกป้องอุตสาหกรรมชิปเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ โดยควบคุมการส่งออกชิปหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูง (HBM) ไปยังบริษัทจีนเพิ่มเติมอีก 140 บริษัท โดยครอบคลุมบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ที่ตั้งอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, และไต้หวันอีกด้วย ถือเป็นการขยายความรุนแรงของสงครามชิปเซมิคอนดักเตอร์ อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยเป็นการจำกัดเฉพาะชิปขั้นสูง ตลาดหุ้นจึงตอบสนองต่อมาตรการดังกล่าวค่อนข้างจำกัด และได้ Price In ไปแล้ว

ทางรัฐบาลจีนรีบออกมาตอบโต้ด้วยมาตรการ ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ โดยห้ามส่งออกแร่สำคัญที่ใช้ในการสร้างชิปเซมิคอนดักเตอร์ อย่าง เจอร์มาเนียม และกัลเลียม และเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการใช้งานขั้นสุดท้ายสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้สองทาง (Dual-Use Item) ที่เกี่ยวข้องกับแร่กราไฟต์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2024 จากสงครามชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าบริษัทสหรัฐฯ จะพยายามเร่งตุนแร่ดังกล่าวเพื่อให้เพียงพอต่อการผลิตอย่างน้อย 9 เดือน ประกอบกับทรัมป์จะเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ทางบริษัทผู้ผลิตชิปจึงเตรียมการตุนแร่ที่สำคัญเพิ่มเติม ทางเราจึงประเมินว่าสงครามชิปครั้งนี้จะกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคตอย่างน้อยประมาณหนึ่งปีข้างหน้า

อีกทั้งทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีสินค้านำเข้า 10% จากจีนทุกชนิด ซึ่งน้อยกว่าที่เคยกล่าวไว้ตอนหาเสียงที่ 60% บ่งชี้ว่าสหรัฐฯ จะทยอยการเพิ่มกำแพงภาษีสินค้าจากจีนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งสนับสนุนข้อสมมติฐานของเรา จาก Arch Lumpini ฉบับวันที่ 18 พ.ย. 2024 หัวข้อ “Xi Jinping vs Donal Trump, Round 2” ซึ่งประเมินว่าด้วยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อยู่ในช่วงของการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป และหนี้สาธารณะที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับสัดส่วนการส่งออกสินค้าของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลง ดังนั้นนโยบายดังกล่าวของทรัมป์กลับเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นจีน

ทำนองเดียวกัน China NBS Manufacturing PMI ฟื้นตัวมาอยู่ในโซนขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และ Non-manufacturing PMI อยู่ในโซนขยายตัวเช่นกัน เป็นผลจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ โดยได้รับแรงหนุนจากดัชนีการผลิต และคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการส่งออกของจีนเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 27 เดือน รวมทั้งมีการส่งออกไปยังรัสเซียและอาเซียนมากขึ้น บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนกำลังลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ลง ซึ่งทางเราประเมินว่ารัฐบาลจีนมีแนวโน้มกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยจะส่งผลให้คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนเพิ่มเติมในปี 2025 สะท้อนว่าปัจจัยภายนอกประเทศจีนจะส่งผลกระทบค่อนข้างจำกัดต่อเศรษฐกิจจีน ด้วยเหตุนี้ทางเราจึงแนะนำให้สะสมหุ้นจีนเพื่อรับประโยชน์เศรษฐกิจฟื้นตัวในอนาคต


ข้อจำกัดความรับผิดชอบ (Disclaimer) 

• การลงทุนมีความเสี่ยง “ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน”
• เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นโดยธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (“ธนาคาร”) ข้อมูลที่ปรากฏในเอกสารนี้นำมาจากแหล่งข้อมูลที่ ธนาคารเห็นว่ามีความน่าเชื่อถือ แต่ไม่อยู่ในวิสัยที่จะสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้โดยอิสระธนาคารไม่สามารถให้การรับประกันความถูกต้องหรือสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าว และอาจรับผิดชอบในความผิดพลาดในการแสดงข้อเท็จจริง หรือข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์รวมทั้งไม่สามารถรับผิดชอบต่อความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลนี้ของผู้หนึ่งผู้ใด ความเห็นที่แสดงในเอกสารนี้ประกอบด้วยความเห็นในปัจจุบันของ ธนาคาร ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ธนาคาร มิได้ให้คำปรึกษาด้านบัญชี ภาษี หรือกฎหมาย โดยผู้ลงทุนควรปรึกษาเรื่องดังกล่าวกับที่ปรึกษา และ/หรือ ผู้ให้คำปรึกษาก่อนการตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับข้อมูลในเอกสารนี้ ผู้ลงทุนควรพิจารณาว่าการลงทุนดังกล่าวมีความเหมาะสมกับตนเอง และควรได้รับคำปรึกษาจากผู้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนที่ได้รับอนุญาต
• ผลตอบแทนในอดีตมิได้แสดงถึงผลตอบแทนในอนาคต และมูลค่าของเงินลงทุน รวมถึงรายได้จากการลงทุนสามารถลดลงและเพิ่มขึ้นได้ ผลตอบแทนในอนาคตไม่สามารถรับประกันได้ และผู้ลงทุนอาจได้รับเงินคืนน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรง แม้กระทั่งในกรณีที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นประเภทคุ้มครองเงินต้นก็ตาม เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารไม่สามารถชำระหนี้บางส่วนหรือทั้งหมดตามสัญญาได้ ความเห็นที่แสดง ณ ที่นี้ เป็นความเห็นปัจจุบันตามวันที่ระบุในเอกสารนี้เท่านั้น
• ไม่มีการรับประกันว่ากลยุทธ์การลงทุนนี้จะมีประสิทธิผลภายใต้ภาวะตลาดทุกประเภท และผู้ลงทุนแต่ละท่านควรที่จะประเมินความสามารถของตนในการที่จะลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลง
• ผู้ลงทุนสามารถทำการศึกษาและขอรับข้อมูลสาระสำคัญของกองทุนรวม รวมถึงนโยบายการลงทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานย้อนหลังได้จาก ผู้แนะนำการลงทุน ของธนาคาร
• คำแนะนำข้างต้น มิได้ใช้กับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit Linked Products)

Weekly Report 25-11-2024

Announcement on 09 December 2024

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง